โรคหนังแข็งเป็นอย่างไร อาการ สาเหตุ (scleroderma) มนุษย์ทุกคนเกิดมามีการเกิดแก่ เจ็บ และก็ตาย บางคนก็ตายเพราะอายุขัย แต่บางคนตายด้วยอุบัติเหตุ บางคนก็ตายด้วยอาการเจ็บป่วยจากโรคที่คุกคามรุมเร้า ที่ดิฉันเขียนเช่นนี้เพราะอยากให้ผู้อ่านที่เข้ามาอ่านบทความของดิฉันมีสติ ไม่ประมาทในชีวิตและอยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องโรค ซึ่งโรคนี้บางท่านอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเลย มันเป็นโรคที่ไม่มีตัวยารักษาให้หายได้ มีแค่ยาที่ช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น ซึ่งโรคนี้มันกำลังคุกคามชีวิตของแม่ของดิฉันลงทุกวัน ๆ คุณหมอบอกว่าใครเป็นโรคนี้ถือว่าโชคร้ายมาก 100,000 คน จะเป็น 1 คน บางทีฉันก็แอบน้อยใจทำไมแม่ฉันต้องเป็นโรคนี้ด้วยทั้งที่เขามีอายุที่ไม่น่าเป็นโรคนี้เลย แม่ฉันอายุ 50 ปี เขาจะปวดนิ้วเท้าที่ดำเพราะไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง ปวดทั้งวันทั้งคืน นอนร้องอย่างน่าเวทนาที่สุด นิ้วที่ดำก็ต้องตัดไปเรื่อย ๆ แม่มีผังผืดจับที่ปอดด้วย หายใจลำบากมาก ฉันทรมานทุกครั้งที่เห็นแม่เจ็บปวด บางที่แอบร้องให้คนเดียว ฉันจะทำทุกย่างที่ให้แม่ของฉันมีความสุข ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าเวลาที่เหลือมันช่างเหลือน้อยลงๆ ทุกวัน ฉันอยากให้ผู้ที่อ่านเรื่องนี้รู้เท่าทันโรค และเป็นประโยชน์ในชีวิตต่อไป โรคหนังแข็ง (scleroderma) โดยโรคดังกล่าวพบมานานแล้ว และจะเกิดเฉพาะบุคคลที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีโอกาสเป็นเพียง 1,000 ต่อ 67 ล้านคนเท่านั้น ลักษณะของโรคหนังแข็ง โรคหนังแข็งเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่ทำให้เกิดอัตราความพิการสูง ในคนไทยพบอุบัติการของโรคประมาณ 1/100,000 คน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงอายุ 40-50 ปี อัตราส่วนของเพศหญิงมากกว่าเพศชายประมาณ 2 : 1 โรคหนังแข็งมี 3 ระยะ คือ ระยะการอักเสบ บุคคลทั่วไปสามารถสังเกต และรับรู้ได้ คือปวดตามข้อ ผิวหนังตึง และปวม ระยะที่ 2 ผิวหนังเริ่มแข็ง หากถูกความเย็นจะซีดและกลายเป็นสีดำ ระยะที่ 3 ถือว่ารุนแรง ปรากฏผิวหนังแข็ง และมีสีดำไปทั่วทั้งตัว ตกสะเก็ด หนังหุ้มกระดูก และกระทบต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย หากคนไข้อยู่ในระยะที่ 1-2 สามารถรักษาได้ทันท่วงที จะทำให้ดีขึ้น และสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ โรคหนังแข็งเป็นโรคเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ อาการของโรคมีได้หลายแบบขึ้นกับความรุนแรงของโรค โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ มีสะสมของผังผืดคอลลาเจนที่ผนังหลอดเลือด และอวัยวะภายในร่างกายมีการแข็ง และหนาตัวของผิวหนัง การแข็งตัวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงผิวหนัง และอวัยวะภายใน เช่น หลอดอาหาร ปอด หัวใจ และไต ทำให้เกิดอาการที่ระบบนั้นๆ การดำเนินโรคในผู้ป่วยแต่ละรายจะแตกต่างกันมาก อาจใช้เวลาเพียง 1-2 เดือน หรือนานเป็นปีกว่าจะมาพบแพทย์ พวกที่มีการดำเนินโรคเร็วมักจะมีพยากรณ์โรคไม่ดี มักจะมีพยาธิสภาพของอวัยวะภายในร่วมด้วยบ่อย ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตจากอาการทางปอด หัวใจ และไต ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีแรกหลังจากที่เริ่มมีอาการ สาเหตุโรคหนังแข็ง โรคหนังแข็งเป็นโรคในระบบเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ไม่ทราบสาเหตุ ทำให้มีเนื้อเยื่อพังผืดแทรกอยู่ในชั้นผิวหนัง และอวัยวะภายในมากผิดปกติ ความหมายของ “sclerodema” ตามศัพท์นั้นหมายถึง “ผิวหนังแข็ง” โดยไม่ได้จำกัดว่าจะเกิดจากสาเหตุใด อาจเกิดจากการสัมผัสสารเคมีหรือได้รับยาบางชนิด เกิดตามหลังการบาดเจ็บ หรือเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน โรคทางเมตาบอลิกอื่นๆ หรือพบร่วมกับโรคมะเร็ง แต่ในทางปฎิบัติแล้วเมื่อกล่าวถึง scleroderma มักหมายถึงโรคหนังแข็งปฐมภูมิที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด โรคนี้เป็นโรคเก่าแก่มีการกล่าวถึงตั้งแต่สมัยฮิปโปเครติส (460-370 ปีก่อนคริสตศักราช) แต่ได้รับการเขียนบันทึกบรรยายลักษณะของโรคโดย Curzio เมื่อปี ค.ศ. 1753 แต่ยังไม่มีการตั้งชื่อโรค จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1847 จึงได้มีการใช้ชื่อ sclerodermie เป็นครั้งแรกโดย Gintrac ชื่อนี้ดัดแปลงมาจากภาษาลาติน (scleros=hard, derma=skin) และได้มีการใช้ต่อมาเป็น scleroderma ในที่สุด อาการโรคหนังแข็ง อาการทางผิวหนัง ผิวหนังจะสีดำ กำมือไม่ได้ มือจะขาว หรือซีด ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดหดตัว ต่อมาจะมีสีม่วงหรือคล้ำเนื่องจากผิวหนังขาดออกซิเจน หลังจากนั้นผิวหนังจะมีสีแดงเนื่องจากเลือดจะไหลไปเลี้ยงเพิ่มขึ้น ผิวหนังจะเกิดอาการเหล่านี้เมื่อสัมผัสอากาศหรือน้ำเย็น อาจพบมีแผลจุดเล็กๆ ที่ปลายนิ้ว ผิวหนังที่เริ่มเป็นมักจะเกิดบริเวณมือ ต่อมาจะลามมาที่แขน หน้า และลำตัว ผู้ป่วยทำหน้าผากย่นไม่ได้ ยิ้มยาก ตามตัวพบด่างขาวเป็นจุด หลอดอาหาร พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 80 มีอาการกลืนลำบาก เจ็บเวลากลืน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารน้อย หรือมีกรดไหลย้อน หรือหลอดอาหารอักเสบ การวินิจฉัยทำได้โดยการกลืนแป้งตรวจหลอดอาหาร จะพบว่าหลอดอาหารจะมีการบีบตัวน้อยลง ผังผืดที่ปอด พบได้บ่อยรองจากทางเดินอาหาร โดยพบได้ตั้งแต่ร้อยละ 40-90 ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่าย ความหลอดเลือดในปอดเพิ่มทำให้เกิดหัวใจห้องขวาวาย หัวใจ และหลอดเลือด มักจะไม่ค่อยมีอาการจากการตรวจศพ พบว่าอัตราการเกิดโรคที่หัวใจพบได้ร้อยละ 30-80 หากมีอาการทางหัวใจพบว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 70 ใน 5 ปี ไต พบได้ร้อยละ 10-40 ของผู้ป่วย และพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตสูง อาการของโรคไตมีสองชนิดคือชนิดเฉียบพลันผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ความดันโลหิตสูง ตามัวลง และชนิดเรื้อรังผู้ป่วยจะมีอาการ กล้ามเนื้อ และข้อ พบว่าผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ และมีการอักเสบของข้อ และมีหินปูนเกาะที่เอ็น เกณฑ์การวินิจฉัยโรคหนังแข็ง เกณฑ์หลัก ได้แก่ ผิวหนังส่วนลำตัวหรือแขนขาแข็งตัว หนาตัว และบวม เกณฑ์การวินิจฉัยรอง ได้แก่ ผิวหนังที่นิ้วจะแข็ง กำมือลำบาก ปลายนิ้วมีแผล ปอดมีผังผืด การวินิจฉัยประกอบไปด้วยเกณฑ์หลัก 1 ข้อ และเกณฑ์รองอย่างน้อย 2 ข้อ การรักษาโรคหนังแข็ง การรักษาความผิดปกติที่ผิวหนังโดยใช้ยาขยายหลอดเลือด เพื่อลดอาการหดตัวของหลอดเลือด เพิ่มการหมุนเวียนของหลอดเลือดมากขึ้น นิยมใช้ยากลุ่ม calcium channel blocker และยากลุ่ม angiotensin II receptor type I antagonist นอกจากนี้มีรายงานการใช้ยากลุ่ม prostacyclin antagonist ได้ผลดีเช่นกัน ยาลดการเกิดเยื่อพังผืด ช่วยลดการทำลายอวัยวะที่สำคัญ D-pennicillamine, colchicine และgamma interferon ยาชื่อ relaxin ซึ่งเป็นโปลิเปปไทด์ และจัดเป็น cytokine growth factor ชนิดหนึ่งที่ยับยั้ง transforming growth factor beta overexpression ของโปรคอลลาเจนชนิด I และ II และเพิ่มการสร้างเอนไซม์ matrix metalloproteinase ยาลดการอักเสบ หรือกดภูมิคุ้มกัน ได้แก่ glucocorticoids, azathioprine, cyclophosphamide ผู้ป่วยควรจะได้รับอาหารที่เคี้ยวง่าย และมีโปรตีนสูง รวมทั้งควรจะได้รับวิตามินเสริม ไม่ควรรับประทานสารที่มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดตีบ รักษาร่างกายให้อบอุ่นรวมทั้งมือและเท้า ควรจะสวมถุงมือหรือถุงเท้าในฤดูหนาว หากมีอาการมาก อาจจะต้องแช่น้ำอุ่นทุก 4 ชั่วโมง การทำกายภาพบำบัดโดยการนวดด้วยน้ำอุ่น หรือการออกกำลังกาย ช่วยชลอการดำเนินของโรค ทาครีมบริเวณผิวหนังที่แข็ง และ หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้โรคเป็นมากขึ้น เช่น silica, chlorinated ethylens, solvents, plastic monomers |
สุขภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559
โรคหนังแข็ง
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559
ห่างไกลโรคข้อ-ปวดคอ ปวดหลัง
วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558
น้ำมะพร้าวอ่อน” พระเอกตัวใหม่ในวงการแพทย์ สารพัดประโยชน์ที่คุณต้องรู้ เพราะมันดีจริงๆจาก FB
ในทางอายุรเวช น้ำมะพร้าว ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ ที่ช่วยในการักษาและมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น ช่วยล้างพิษ ดูดซับและขับของเสียออกจากร่างกายทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยสดใส ถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนเนื้อมะพร้าวอ่อนและแก่ ได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งหลายคนจะเข้าใจผิดว่าเนื้อมะพร้าวและกะทิจะทำลายสุขภาพ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในเนื้อมะพร้าวมีไขมันเชิงเดี่ยวเผาผลาญได้ง่าย ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจึงถือได้ว่า ช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่งด้วย
น้ำมะพร้าวอ่อน เรารู้จักกันดีว่ามีรสชาติหอมหวาน นอกจากจะใช้ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ทราบหรือไม่ว่าน้ำมะพร้าวอ่อนยังสามารถดื่มเพื่อทดแทนเกลือแร่เวลาที่เราสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย หรือขาดเกลือแร่เนื่องจากอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย
” น้ำมะพร้าว” ถือ เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง
ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบนน้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิดเช่น โพแทสเซียมเหล็ก โซเดียมแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย
ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ ?
ขณะตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น ‘น้ำมะพร้าว’ เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัวค่ะ
ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด
จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่า “ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข”
จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่ม
น้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย”
ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง?
เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่ มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก
ประโยชน์มากมาย
น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระดูก มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)
อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่างคนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)
น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส
น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดีแถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เที่ยวเมืองนอกพกยาอะไรกันบ้าง? ยา 15 ตัวที่แพทย์แนะนำให้ติดตัว
เที่ยวเมืองนอกพกยาอะไรกันบ้าง? ยา 15 ตัวที่แพทย์แนะนำให้ติดตัวเมื่อเดินทาง
Posted on 09/10/2015 by JJ in Featured, Tip, สาระ-ความรู้
สัมภาระสำคัญที่นักเดินทางควรพกติดตัวอยู่เสมอคือ “ยาประจำตัว” เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่คำถามต่อมาคือนอกจากยารักษาโรคประจำตัวของเราเองแล้ว เราควรพกยาอะไรไปอีกบ้าง ถึงจะครอบคลุมอาการเจ็บป่วยทั่วไป โดยที่ยังไม่ต้องบ้าหอบฟาง พกยาปริมาณมากเกินไปจนกินพื้นที่สัมภาระอย่างอื่น
ทีมงาน 2Baht.com ลองสอบถามประเด็นนี้ไปยังแพทย์หลายรายที่เดินทางด้วยกันเป็นประจำ และได้รับคำแนะนำมาดังนี้
คำแนะนำของคุณหมอคือให้จัดยาแยกตาม “กลุ่มอาการ” ที่พบบ่อยทั้งหมด 5 กลุ่ม รวมแล้ว 15 ตัวยา ได้แก่
- แก้ไข้ แก้ปวด แก้เมื่อย อาการภายนอกที่พบบ่อยเวลาเดินทาง
- แก้เมารถ เมาเรือ ซึ่งมักเกิดตอนขึ้นยานพาหนะ
- อาการด้านระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่คือ ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ
- แก้แพ้ และอาการด้านหูคอจมูก เจอบ่อยเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
- กลุ่มยาอื่นๆ ซึ่งรวมถึงยาเฉพาะสำหรับโรคประจำตัว (ถ้ามี)
หมายเหตุ: ชื่อยาอาจแตกต่างกันไปตามชื่อทางวิทยาศาสตร์หรือชื่อทางการค้าของแต่ละบริษัท ควรตรวจสอบกับเภสัชกรอีกครั้ง
กลุ่มยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้เมื่อย
1. PARACETAMOL พาราเซตามอล (500 mg)
สำหรับ : แก้ไข้ แก้ปวด
วิธีทาน : 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
คงไม่ต้องอธิบายกันมากกับ “พาราเซตามอล” ยาสามัญประจำบ้านที่ช่วยได้ทั้งอาการแก้ไข้ ตัวร้อน และแก้ปวดตามจุดต่างๆ ถือเป็นยามาตรฐานที่ทุกคนควรพกติดตัวอยู่แล้ว
คำแนะนำ การทานยาพาราเซตามอล ควรทานให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว โดยเอาน้ำหนักไปคูณ 10 จะเป็นปริมาณยาพาราเซตามอลที่ควรทาน เช่น ผู้หญิงตัวเล็กหนัก 42 กิโลกรัม ก็ควรทานยา 420 มิลลิกรัม หรือ ทานพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัมเพียง 1 เม็ดเท่านั้น (รายละเอียด)
2. NORGESIC นอร์จีสิก (ยาคลายกล้ามเนื้อผสมยาแก้ปวด)
สำหรับ : เมื่อมีอาการปวดเมื่อยจากการเดินมากๆ
วิธีทาน : 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร
ในทริปที่ต้องใช้วิธีเดินเท้ามากๆ หรือจัดโปรแกรมแน่นจนต้องเดินทั้งวัน อาการปวดเมื่อยจะตามมาจนทำให้วันต่อไปเที่ยวไม่สนุกเพราะขาจะร้าวไปหมด การกินยาคลายกล้ามเนื้อย่อมช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยเหล่านี้ได้ค่ะ
เทคนิคอีกอย่างที่ช่วยคลายเมื่อยได้ดีคือถ้าห้องพักมีอ่างอาบน้ำ ก็สามารถเติมน้ำร้อนเพื่อแช่เท้าสักระยะหนึ่ง ช่วยคลายกล้ามเนื้อจากการเดินมาทั้งวันได้
3. DICLOFENAC ไดโคลฟีแนค
สำหรับ : แก้ปวดเมื่อย เช่น ปวดเข่า ข้อบวม
วิธีทาน : 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร
คำแนะนำ กรณีเป็นโรคกระเพาะให้ใช้ CEREBREX หรือ ARCOXIA แทน
ไดโคลฟีแนคเป็นยาแก้ปวดเมื่อยอีกตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตามถ้าเป็นโรคกระเพาะก็ควรระวังไว้หน่อย
4. VOLTAREN GEL โวลทาเรนเจล
ยาใช้ภายนอก สำหรับทาแก้ปวดเมื่อย
โวลทาเรนเจล เป็นยาทาภายนอก ใช้ทาบริเวณกล้ามเนื้อจุดที่เมื่อยควบคู่ไปกับยากินข้างต้นได้
กลุ่มยาแก้เมารถ เมาเรือ
5. DRAMAMINE ดรามามีน
สำหรับ : แก้เมารถ เมาเรือ
วิธีทาน: 1 เม็ดก่อนออกเดินทาง 15 – 30 นาที ทานแล้วจะง่วงซึมหรือหลับเลยทีเดียว
อาการเมารถเมาเรืออาจไม่ได้เกิดกับทุกคน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นคนเมารถเมาเรือง่ายก็ควรมีติดตัวอยู่แล้ว แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้เมารถเมาเรือ การพกพายาตัวนี้ไปย่อมจะได้ใช้งานยามเพื่อนร่วมทริปออกอาการ ในกรณีที่รถขึ้นเขา ขับเหวี่ยง หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ
กลุ่มยาระบบทางเดินอาหาร
6. NORFLOXACIN นอร์ฟลอกซาซิน (400 mg)
สำหรับ : แก้ลำไส้หรือทางเดินปัสสาวะอักเสบ เช่น ท้องเสีย
วิธีทาน : 1 เม็ด เช้า-เย็นหลังอาหาร
การไปต่างถิ่นที่ต้องกินอาหารแปลกๆ จนอาจเกิดอาการท้องเสียได้ ส่วนจะรุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นกับสภาพการณ์ แต่การท้องเสียย่อมทำให้การเดินทางไกลไม่สะดวกเพราะต้องหาห้องน้ำเข้าเป็นระยะๆ (แถมบางประเทศก็หาห้องน้ำระหว่างทางยากกว่าเมืองไทยมาก) การเตรียมยาแก้ท้องเสียไปด้วยย่อมช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้
7. IMODIUM อิโมเดียม
สำหรับ : ลดการบีบตัวของลำไส้ กรณีท้องเสียรุนแรง
วิธีทาน : 2 เม็ดทันที หลังจากนั้น 1 เม็ดทุกครั้งที่ถ่าย หรือ ทุก 4-6 ชั่วโมง และไม่เกิน 4-6 เม็ด
8. ULTRACARBON อัลตราคาร์บอน (ถ่านอัดเม็ด)
สำหรับ : ช่วยดูดซึมแก๊ส เมื่อแน่นท้อง ท้องอืด หรือดูดพิษเมื่อท้องเสีย
วิธีทาน : 1-2 เม็ด และไม่ควรทานร่วมกับนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และยาอื่นๆ (หากจำเป็นควรทานห่างจากยานี้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง)
9. ผงเกลือแร่ ORS
สำหรับ : ชดเชยการสูญเสียน้ำในกรณีท้องเสีย
วิธีทาน : ละลายผงเกลือแร่ผสมน้ำสะอาดดื่มแบบค่อยๆ จิบ (ถ้าหาแก้วน้ำลำบาก สามารถละลายลงในขวดแล้วทานได้)
ผงเกลือแร่ไม่ได้แก้ท้องเสียโดยตรง แต่การท้องเสียจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากจนอ่อนเพลีย สามารถใช้ผงเกลือแร่ช่วยฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้
10. SIMETHICONE ไซเมทิโคน หรือ (Air-X) แอร์เอ็กซ์
สำหรับ : แก้ท้องอืด แน่นท้อง
วิธีทาน : 1-2 เม็ด เคี้ยวก่อนอาหาร
นอกจากอาการท้องเสียแล้ว อาการที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารคือท้องอืดหรือแน่นท้อง อันเป็นผลมาจากการกินน้ำอัดลมหรือกินมากเกินไป (สำหรับทริปตระเวณชิมทั้งหลาย) ถ้ารู้ตัวว่ามีอาการลักษณะนี้ได้ง่ายก็ควรพกยากลุ่มนี้ไปด้วย (แถมยากลุ่มนี้ใช้การเคี้ยว ไม่ต้องกินคู่กับน้ำด้วย)
กลุ่มยาแก้แพ้ และหูคอจมูก
11. CETIRIZINE เซไทริซีน หรือ LORATADINE ลอราทาดีน
สำหรับ : แก้แพ้ แก้คัน ลดน้ำมูก
วิธีทาน : 1 เม็ดต่อวัน
อาการแพ้อากาศ หรือแพ้วัตถุบางอย่างจนเกิดอาการคันอาจเกิดได้เสมอ เมื่อแพ้อากาศแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำมูกไหลไม่หยุด ดังนั้นถ้าแพ้อากาศง่ายก็ควรพกยาแก้แพ้ตัวนี้ไปด้วย
คำเตือน การทานยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม
12. AMOXYCILLIN อะม็อกซีซิลลิน (500 mg)
สำหรับ : รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะคออักเสบ
วิธีทาน : 1 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง (3 เวลาหลังอาหาร และก่อนนอน)
นอกจากแพ้อากาศแล้ว ถ้าเป็นหวัดระหว่างเดินทางจนคออักเสบ ก็ต้องมียาแก้อักเสบติดตัวไปเช่นกัน โดยยาแก้อักเสบมาตรฐานคืออะม็อกซีซิลลิน หาซื้อได้ทั่วไปอยู่แล้ว
กลุ่มยาอื่นๆ
13. POVIDINE IODINE โพวิโดน ไอโอดีน หรือ BETADINE เบตาดีน
ยาใช้ภายนอก สำหรับทาแผลสด
อุบัติเหตุภายนอกเกิดขึ้นได้เสมอ ส่วนใหญ่คือการหกล้มจนขาหรือแขนเป็นแผลสด ถ้ามียาแบบเบตาดีนติดตัวไป (พร้อมพลาสเตอร์) ก็สามารถใส่เพื่อทำความสะอาดแผลได้
14. ยาดม ยาอม ยาหม่อง
อันนี้คุณหมอไม่ได้แนะนำว่าตัวไหน ตามแต่ความชอบส่วนตัวเลยค่ะ
15. ยาเฉพาะโรคส่วนตัว
หากเป็นยาที่หาไม่ได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยิ่งต้องพกติดตัวไปด้วยพร้อมกับใบสั่งยาและใบรับรองแพทย์
หมายเหตุ
- ข้อมูลเหล่านี้ที่เว็บไซต์ 2Baht.com รวบรวมมา ถือเป็นการแนะนำตัวยาในเบื้องต้นเท่านั้น ควรแจ้งยาที่แพ้กับเภสัชอีกครั้งก่อนจ่ายยา
- กรณีพกยาไปต่างประเทศ อาจจะรบกวนให้เภสัชกรช่วยเขียนฉลากยาเป็นภาษาอังกฤษ และโปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนเดินทาง ว่ายาที่พกไป ไม่เข้าข่ายยาต้องห้ามสำหรับประเทศนั้นๆ ด้วยนะ (กรณีเป็นยาที่หมอสั่งพิเศษ ก็ควรพกใบสั่งยาและใบรับรองแพทย์ไปด้วยนะคะ)
- ตัวอย่างรายชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายและห้ามนำเข้ามาในญี่ปุ่น เนื่องจากมีส่วนผสมต้องห้าม เช่น Tylenol Cold, Nyquil, Nyquil Liquicaps, Actifed, Sudafed, Advil Cold & Sinus, Dristan Cold (“No Drowsiness”), Dristan Sinus, Drixoral Sinus, Vicks Inhaler, Lomotil (อ้างอิงจาก สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และ Drug Laws in Japanโดย Kansai Gaidai University)