วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เตือนระวัง...ครีมเทียม กินมาก อันตรายกว่าที่คิด!

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           สำหรับใครหลาย ๆ คน "กาแฟ" อาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะต้องดื่มทุกวัน วันละหลาย ๆ แก้ว ดื่มแล้วหูตาสว่าง สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ซึ่งรสชาติที่แต่ละคนชื่นชอบก็จะแตกต่างกันออกไป บ้างก็ชอบใส่น้ำตาลให้หวาน ๆ บ้างก็ชอบใส่ครีมเทียม เพิ่มความเข้มข้น หอม มัน แล้วเพื่อน ๆ ทราบหรือไม่ว่า ครีมเทียมนั้นมีอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คุณคิด!

           ครีมเทียมเป็นไขมันชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า ไขมันทรานส์ (trans fat) ซึ่งได้จากการนำไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลืองมาอัดไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อทำให้มันแข็งเป็นไข จะได้ทำเป็นผงได้ แล้วเอามาทำอาหารอุตสาหกรรม เช่น เค้ก คุกกี้ ขนมกรุบกรอบ ครีมเทียม เนยเทียม บางทีคนจึงเรียกง่าย ๆ ว่า ไขมันผง หรือไขมันแข็ง (solid fat)

           ส่วนครีมเทียมที่มีจำหน่ายประมาณครึ่งหนึ่งเป็นน้ำตาล อีกครึ่งหนึ่งเป็นไขมันเติมไฮโดรเจนไปบางส่วน ทำให้ไขมันบางส่วนแปรไปเป็นไขมันทรานส์ ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์มาก ๆ จะเป็นการเพิ่มระดับ LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด และลดระดับ HDL (High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป ซึ่งย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ
1. น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น
2. มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ
3. มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

           นอกจากนี้ พิษภัยของไขมันทรานส์ได้รับการพิสูจน์โดยงานวิจัยของฮาร์วาร์ดซึ่งติดตามผลสำรวจของประชาชนราวแปดหมื่นกว่าคนเป็นเวลานานถึง 12 ปี โดยจำแนกออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามชนิดของที่มาของพลังงานที่ได้เพิ่มเข้ามาระหว่างการวิจัย แล้วเปรียบเทียบกันว่าการบริโภคแหล่งพลังงานแบบไหนจะเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดมากกว่ากันโดยใช้กลุ่มที่ได้พลังงานเพิ่มมาจากคาร์โบไฮเดรตเป็นตัวตั้ง

           งานวิจัยนี้พบว่า พวกที่ได้พลังงานจากไขมันทรานส์ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าพวกที่ได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ส่วนพวกที่ได้พลังงานจากไขมันอิ่มตัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าพวกที่ได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 17% และพวกที่ได้พลังงานเพิ่มมาจากไขมันไม่อิ่มตัวนั้นเป็นโรคน้อยกว่าพวกที่ได้พลังงานเพิ่มจากคาร์โบไฮเดรต งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าไขมันทรานส์ชั่วร้ายที่สุด ร้ายกว่าไขมันอิ่มตัวเช่นน้ำมันหมูตั้งเยอะ

           สมัยนี้ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะทานอะไรก็อันตรายไปเสียหมด เห็นทีเพื่อน ๆ คงต้องรู้จักระมัดระวังในการเลือกรับประทานสิ่งต่าง ๆ และหันมาดูแลสุขภาพกันให้มากขึ้นนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

visitdrsant.blogspot.com ,th.answers.yahoo.com



                        

การรักษาร่างกายไม่ให้แก่เร็ว

**มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง**

ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน คำตอบคือ กินสายกลาง  

กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น

เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด   เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้  

สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9  แคลอรี่  ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้  1.3 ก.กความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด 

ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอน ร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้  ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มาก ทำให้ อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวก ไขมันตัวโตๆ จะต้อง ค้างอยู่ในหลอดเลือดถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะ เล็กลง ทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น ถ้าตันที่สมองจะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร   

ฉะนั้น การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน

การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน   และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน   

วิธีฝึกมี 4 วิธี

1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก จาน เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้น ยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น 

2. ร่นเวลากินอาหารมื้อเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ

3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว

4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูก ตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยง ได้ทัน

ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด

ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน

ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง มื้อ คือ เช้า  กับ เพล* 


**โรค Attention Deficit Trait**

โดย ผศ. ดร. พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับคนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย  ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่น ในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียกAttention Deficit Trait หรือADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก 

ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548ในบทความชื่อ  Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward MHallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้ง หลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการAttention Deficit Disorderหรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรคADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น

ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมี ผู้ใหญ่ เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็น โรคอีกชนิดหนึ่งที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้นคุณหมอท่านนี้เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็นAttention Deficit Trait หรือADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก

ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะ ถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา

โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วนหรือ สิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADTเพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้นอีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา

ดังนั้นเมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง(Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรคADT จะก่อให้เกิด ปัญหา อะไรขึ้น?ง่ายๆ ก็คือ ทำให้ สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่ง ผลให้งานที่ออกมาเป็น งานที่เร็วแต่ไม่ลึกจะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้ง ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม

วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เรา มักจะคิดว่า ในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า

ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุดปุ่มนั้นก็คือ ปุ่มปิดประตู เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADTกันบ้างไหมครับ

ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน(เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน)

 

**ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง**

เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่งเกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำ เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่าย จะหาห้องน้ำสะอาดๆ ยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำ จะได้ไม่ต้องปัสสาวะ

พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย

โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไปเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมด หรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง 

จากประสบการณ์ที่พบ คนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาว ไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่า ทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้ คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตัน ได้เลย เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้น น้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่ง ทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมา ทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี 

เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำ ลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีก เลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่าเลือดที่เสีย เมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด

ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุง ร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆ หยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป

ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆ กลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ

1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ

2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ

3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ

4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ

5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้น มันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เรา จงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว


**เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง**

**เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรคApoplexy** 

เพื่อนคนหนึ่ง*หกล้ม*ในงานบาร์บีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น อิงอิงดู *ยืนไม่ค่อยมั่นคง * เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน โมงเย็น

ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด 

แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า *หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.ก็จะมีโอกาสรอด* ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง

วิธีวินิจฉัยอาการ แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ

โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้

S (smile) ให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T (talk) ให้ผู้ป่วย พูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง

R (raise) ให้ผู้ป่วย ชูแขนสองข้าง 

อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วย แลบลิ้น ออก *ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!*

ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่งร.พ.โดยด่วน 

โปรดส่งข้อความนี้ให้เพื่อนๆ เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น

   

                                                                ..........................

ข้อมูลการรักษาสุขภาพ

1. การรักษาเส้นหัวใจตีบและนิ้วล๊อค   ที่มาหลวงพระชิน ณัฐพนธ์(โก๋) วัดหลวงพ่อสดฯ
จ.ราชบุรี
1. ให้ใช้อุ้งมือทั้งสองและนิ้วมือ 5 นิ้ว ทั้งสองมือตบกันค่อนข้างแรง จะมีเเลือดมาเลี้ยงฝ่ามือ ชุดละ 500 ครั้ง วันละ 1 ชุด หรือ 2 ชุด เช้า- เย็น
2. การออกกำลังกายด้วยไม้พอง ประกอบท่า 12 ท่าในการออกกำลังกาย 
ใช้ท่อ PVC ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาว 1. 50 เมตร
3. สูตรช่วยย่อยเจริญอาหาร ที่มาหลวงพระชิน ณัฐพนธ์(โก๋) วัดหลวงพ่อสดฯ จ.ราชบุรี
ส่วนประกอบ : มะกูด 32 ลูก ผ่าแบ่งเป็น 8 ซีก  มะนาว 32 ผ่าแบ่งเป็น 8 ซีก
มะขามเปียก 1 ก.ก. ยาดำ 2 บาท น้ำ 40 ลิตร
ใช้เวลาหมัก 5 วัน แล้วลินเอากลากทิ้ง นำน้ำมาใช้ดื่ม ใช้ดื่มได้ถึง 6 เดือน
สรรพคุณ : คลายเครียด ช่วยย่อยอาหาร เจริญอาหาร
วิธีทำ : มะนาว มะกรูด ผ่า 8 ซีก มะขามคลี่ออกผสมยาดำ หมัก น้ำ 40 ลิตร 5 วัน