วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

น้ำมะพร้าวอ่อน” พระเอกตัวใหม่ในวงการแพทย์ สารพัดประโยชน์ที่คุณต้องรู้ เพราะมันดีจริงๆจาก FB


4

ในทางอายุรเวช  น้ำมะพร้าว  ถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ ที่ช่วยในการักษาและมีคุณสมบัติเป็นธาตุเย็น  ช่วยล้างพิษ  ดูดซับและขับของเสียออกจากร่างกายทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยสดใส  ถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  ส่วนเนื้อมะพร้าวอ่อนและแก่  ได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ  ซึ่งหลายคนจะเข้าใจผิดว่าเนื้อมะพร้าวและกะทิจะทำลายสุขภาพ ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในเนื้อมะพร้าวมีไขมันเชิงเดี่ยวเผาผลาญได้ง่าย ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานในการเผาผลาญจึงถือได้ว่า ช่วยลดความอ้วนได้อีกทางหนึ่งด้วย

น้ำมะพร้าวอ่อน เรารู้จักกันดีว่ามีรสชาติหอมหวาน นอกจากจะใช้ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ทราบหรือไม่ว่าน้ำมะพร้าวอ่อนยังสามารถดื่มเพื่อทดแทนเกลือแร่เวลาที่เราสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย หรือขาดเกลือแร่เนื่องจากอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย

” น้ำมะพร้าว” ถือ เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง

ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบนน้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิดเช่น โพแทสเซียมเหล็ก โซเดียมแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์และวิตามินบี แถมย ังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ ?

ขณะตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น ‘น้ำมะพร้าว’ เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัวค่ะ

ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด

จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่า “ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข”

จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่ม
น้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย”

ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง?
เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่ มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก

ประโยชน์มากมาย
น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระดูก มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)

อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่างคนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)

น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์

การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ
และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอกเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดีแถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย ( คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์)จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูงทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เที่ยวเมืองนอกพกยาอะไรกันบ้าง? ยา 15 ตัวที่แพทย์แนะนำให้ติดตัว

เที่ยวเมืองนอกพกยาอะไรกันบ้าง? ยา 15 ตัวที่แพทย์แนะนำให้ติดตัวเมื่อเดินทาง

ติดตามข้อมูลท่องเที่ยวจากเพจ 2Baht.com กดไลค์ด้านล่าง

สัมภาระสำคัญที่นักเดินทางควรพกติดตัวอยู่เสมอคือ “ยาประจำตัว” เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่คำถามต่อมาคือนอกจากยารักษาโรคประจำตัวของเราเองแล้ว เราควรพกยาอะไรไปอีกบ้าง ถึงจะครอบคลุมอาการเจ็บป่วยทั่วไป โดยที่ยังไม่ต้องบ้าหอบฟาง พกยาปริมาณมากเกินไปจนกินพื้นที่สัมภาระอย่างอื่น

ทีมงาน 2Baht.com ลองสอบถามประเด็นนี้ไปยังแพทย์หลายรายที่เดินทางด้วยกันเป็นประจำ และได้รับคำแนะนำมาดังนี้

Travel medicines

คำแนะนำของคุณหมอคือให้จัดยาแยกตาม “กลุ่มอาการ” ที่พบบ่อยทั้งหมด 5 กลุ่ม รวมแล้ว 15 ตัวยา ได้แก่

  1. แก้ไข้ แก้ปวด แก้เมื่อย อาการภายนอกที่พบบ่อยเวลาเดินทาง
  2. แก้เมารถ เมาเรือ ซึ่งมักเกิดตอนขึ้นยานพาหนะ
  3. อาการด้านระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่คือ ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ
  4. แก้แพ้ และอาการด้านหูคอจมูก เจอบ่อยเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
  5. กลุ่มยาอื่นๆ ซึ่งรวมถึงยาเฉพาะสำหรับโรคประจำตัว (ถ้ามี)

หมายเหตุ: ชื่อยาอาจแตกต่างกันไปตามชื่อทางวิทยาศาสตร์หรือชื่อทางการค้าของแต่ละบริษัท ควรตรวจสอบกับเภสัชกรอีกครั้ง

กลุ่มยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้เมื่อย

1. PARACETAMOL พาราเซตามอล (500 mg)

สำหรับ : แก้ไข้ แก้ปวด
วิธีทาน : 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง

คงไม่ต้องอธิบายกันมากกับ “พาราเซตามอล” ยาสามัญประจำบ้านที่ช่วยได้ทั้งอาการแก้ไข้ ตัวร้อน และแก้ปวดตามจุดต่างๆ ถือเป็นยามาตรฐานที่ทุกคนควรพกติดตัวอยู่แล้ว

คำแนะนำ การทานยาพาราเซตามอล ควรทานให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว โดยเอาน้ำหนักไปคูณ 10 จะเป็นปริมาณยาพาราเซตามอลที่ควรทาน เช่น  ผู้หญิงตัวเล็กหนัก 42 กิโลกรัม ก็ควรทานยา 420 มิลลิกรัม หรือ ทานพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัมเพียง 1 เม็ดเท่านั้น (รายละเอียด)

2. NORGESIC นอร์จีสิก (ยาคลายกล้ามเนื้อผสมยาแก้ปวด)

สำหรับ : เมื่อมีอาการปวดเมื่อยจากการเดินมากๆ
วิธีทาน : 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร

ในทริปที่ต้องใช้วิธีเดินเท้ามากๆ หรือจัดโปรแกรมแน่นจนต้องเดินทั้งวัน อาการปวดเมื่อยจะตามมาจนทำให้วันต่อไปเที่ยวไม่สนุกเพราะขาจะร้าวไปหมด การกินยาคลายกล้ามเนื้อย่อมช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยเหล่านี้ได้ค่ะ

เทคนิคอีกอย่างที่ช่วยคลายเมื่อยได้ดีคือถ้าห้องพักมีอ่างอาบน้ำ ก็สามารถเติมน้ำร้อนเพื่อแช่เท้าสักระยะหนึ่ง ช่วยคลายกล้ามเนื้อจากการเดินมาทั้งวันได้

3. DICLOFENAC ไดโคลฟีแนค

สำหรับ : แก้ปวดเมื่อย เช่น ปวดเข่า ข้อบวม
วิธีทาน : 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร

คำแนะนำ กรณีเป็นโรคกระเพาะให้ใช้ CEREBREX หรือ ARCOXIA แทน

ไดโคลฟีแนคเป็นยาแก้ปวดเมื่อยอีกตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตามถ้าเป็นโรคกระเพาะก็ควรระวังไว้หน่อย

4. VOLTAREN GEL โวลทาเรนเจล

ยาใช้ภายนอก สำหรับทาแก้ปวดเมื่อย

โวลทาเรนเจล เป็นยาทาภายนอก ใช้ทาบริเวณกล้ามเนื้อจุดที่เมื่อยควบคู่ไปกับยากินข้างต้นได้

กลุ่มยาแก้เมารถ เมาเรือ

5. DRAMAMINE ดรามามีน

สำหรับ : แก้เมารถ เมาเรือ
วิธีทาน: 1 เม็ดก่อนออกเดินทาง 15 – 30 นาที ทานแล้วจะง่วงซึมหรือหลับเลยทีเดียว

อาการเมารถเมาเรืออาจไม่ได้เกิดกับทุกคน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นคนเมารถเมาเรือง่ายก็ควรมีติดตัวอยู่แล้ว แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้เมารถเมาเรือ การพกพายาตัวนี้ไปย่อมจะได้ใช้งานยามเพื่อนร่วมทริปออกอาการ ในกรณีที่รถขึ้นเขา ขับเหวี่ยง หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ

กลุ่มยาระบบทางเดินอาหาร

6. NORFLOXACIN นอร์ฟลอกซาซิน (400 mg)

สำหรับ : แก้ลำไส้หรือทางเดินปัสสาวะอักเสบ เช่น ท้องเสีย
วิธีทาน : 1 เม็ด เช้า-เย็นหลังอาหาร

การไปต่างถิ่นที่ต้องกินอาหารแปลกๆ จนอาจเกิดอาการท้องเสียได้ ส่วนจะรุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นกับสภาพการณ์ แต่การท้องเสียย่อมทำให้การเดินทางไกลไม่สะดวกเพราะต้องหาห้องน้ำเข้าเป็นระยะๆ (แถมบางประเทศก็หาห้องน้ำระหว่างทางยากกว่าเมืองไทยมาก) การเตรียมยาแก้ท้องเสียไปด้วยย่อมช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้

7. IMODIUM อิโมเดียม

สำหรับ : ลดการบีบตัวของลำไส้ กรณีท้องเสียรุนแรง
วิธีทาน : 2 เม็ดทันที หลังจากนั้น 1 เม็ดทุกครั้งที่ถ่าย หรือ ทุก 4-6 ชั่วโมง และไม่เกิน 4-6 เม็ด

8. ULTRACARBON อัลตราคาร์บอน (ถ่านอัดเม็ด)

สำหรับ : ช่วยดูดซึมแก๊ส เมื่อแน่นท้อง ท้องอืด หรือดูดพิษเมื่อท้องเสีย
วิธีทาน : 1-2 เม็ด และไม่ควรทานร่วมกับนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และยาอื่นๆ (หากจำเป็นควรทานห่างจากยานี้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง)

9. ผงเกลือแร่ ORS

สำหรับ : ชดเชยการสูญเสียน้ำในกรณีท้องเสีย
วิธีทาน : ละลายผงเกลือแร่ผสมน้ำสะอาดดื่มแบบค่อยๆ จิบ (ถ้าหาแก้วน้ำลำบาก สามารถละลายลงในขวดแล้วทานได้)

ผงเกลือแร่ไม่ได้แก้ท้องเสียโดยตรง แต่การท้องเสียจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากจนอ่อนเพลีย สามารถใช้ผงเกลือแร่ช่วยฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้

10. SIMETHICONE ไซเมทิโคน  หรือ (Air-X) แอร์เอ็กซ์

สำหรับ : แก้ท้องอืด แน่นท้อง
วิธีทาน : 1-2 เม็ด เคี้ยวก่อนอาหาร

นอกจากอาการท้องเสียแล้ว อาการที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารคือท้องอืดหรือแน่นท้อง อันเป็นผลมาจากการกินน้ำอัดลมหรือกินมากเกินไป (สำหรับทริปตระเวณชิมทั้งหลาย) ถ้ารู้ตัวว่ามีอาการลักษณะนี้ได้ง่ายก็ควรพกยากลุ่มนี้ไปด้วย (แถมยากลุ่มนี้ใช้การเคี้ยว ไม่ต้องกินคู่กับน้ำด้วย)

กลุ่มยาแก้แพ้ และหูคอจมูก

11. CETIRIZINE เซไทริซีน หรือ LORATADINE ลอราทาดีน

สำหรับ : แก้แพ้ แก้คัน ลดน้ำมูก
วิธีทาน : 1 เม็ดต่อวัน

อาการแพ้อากาศ หรือแพ้วัตถุบางอย่างจนเกิดอาการคันอาจเกิดได้เสมอ เมื่อแพ้อากาศแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือน้ำมูกไหลไม่หยุด ดังนั้นถ้าแพ้อากาศง่ายก็ควรพกยาแก้แพ้ตัวนี้ไปด้วย

คำเตือน การทานยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม

12. AMOXYCILLIN อะม็อกซีซิลลิน (500 mg)

สำหรับ : รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะคออักเสบ
วิธีทาน : 1 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง (3 เวลาหลังอาหาร และก่อนนอน)

นอกจากแพ้อากาศแล้ว ถ้าเป็นหวัดระหว่างเดินทางจนคออักเสบ ก็ต้องมียาแก้อักเสบติดตัวไปเช่นกัน โดยยาแก้อักเสบมาตรฐานคืออะม็อกซีซิลลิน หาซื้อได้ทั่วไปอยู่แล้ว

กลุ่มยาอื่นๆ

13. POVIDINE IODINE โพวิโดน ไอโอดีน หรือ BETADINE  เบตาดีน

ยาใช้ภายนอก สำหรับทาแผลสด

อุบัติเหตุภายนอกเกิดขึ้นได้เสมอ ส่วนใหญ่คือการหกล้มจนขาหรือแขนเป็นแผลสด ถ้ามียาแบบเบตาดีนติดตัวไป (พร้อมพลาสเตอร์) ก็สามารถใส่เพื่อทำความสะอาดแผลได้

14. ยาดม ยาอม ยาหม่อง 

อันนี้คุณหมอไม่ได้แนะนำว่าตัวไหน ตามแต่ความชอบส่วนตัวเลยค่ะ

15. ยาเฉพาะโรคส่วนตัว

หากเป็นยาที่หาไม่ได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยิ่งต้องพกติดตัวไปด้วยพร้อมกับใบสั่งยาและใบรับรองแพทย์

หมายเหตุ

  • ข้อมูลเหล่านี้ที่เว็บไซต์ 2Baht.com รวบรวมมา ถือเป็นการแนะนำตัวยาในเบื้องต้นเท่านั้น ควรแจ้งยาที่แพ้กับเภสัชอีกครั้งก่อนจ่ายยา
  • กรณีพกยาไปต่างประเทศ อาจจะรบกวนให้เภสัชกรช่วยเขียนฉลากยาเป็นภาษาอังกฤษ และโปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนเดินทาง ว่ายาที่พกไป ไม่เข้าข่ายยาต้องห้ามสำหรับประเทศนั้นๆ ด้วยนะ (กรณีเป็นยาที่หมอสั่งพิเศษ ก็ควรพกใบสั่งยาและใบรับรองแพทย์ไปด้วยนะคะ)
  • ตัวอย่างรายชื่อยาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายและห้ามนำเข้ามาในญี่ปุ่น เนื่องจากมีส่วนผสมต้องห้าม เช่น Tylenol Cold, Nyquil, Nyquil Liquicaps, Actifed, Sudafed, Advil Cold & Sinus, Dristan Cold (“No Drowsiness”), Dristan Sinus, Drixoral Sinus,  Vicks Inhaler, Lomotil (อ้างอิงจาก สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และ Drug Laws in Japanโดย Kansai Gaidai University)

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สำหรับ สว.

    เพิ่งฟังแพทย์และนักการธนาคารแนะนำ
สว.หลังเกษียณ จากรายการทีวี"ตอบโจทย์"
 ไทยพีบีเอส     สรุปดังนี้ครับ
     นักการธนาคารให้เพิ่มรายได้เพราะ
ปัจจุบันอายุขัยเพิ่มกว่าเดิม เงินบำนาญ
ในระบบท่ีถูกออกแบบมานานแล้วอาจ
ไม่พอใช้จนตลอดชีวิต โดย
   1) ลงทุนในกองทุน (ท่ีปลอดภัย)
   2) ทำงานต่อไป (ถ้าทำได้ )
        หรือทำงานอย่างอื่น แม้แต่งานอาสา
    สมัคร แม้ไม่ได้เงิน แต่อาจมีอาหารบริการ
    ก็ประหยัดเงินได้บ้าง
       แพทย์เล่าว่า.มีงานวิจัยในต่างประเทศ
   พบว่าวัยท่ีตัดสินใจได้ดีท่ีสุดคืออายุ62 ปี
  ดังนั้นอย่าคิดว่าคนวัย50-60 ปีเป็นวัยท่ี
  เสื่อมถอยเท่านั้น แน่นอนมีบางอย่างเสื่อม  แต่ท่ียังดีอยู่ และดีกว่าคนหนุ่มสาวก็มี  คือ" ประสบการณ์ จะตัดสินใจ"
  
ดังนั้นต้องรักษา"สมอง" ให้ดีท่ีสุดโดย
    1) ออกกำลังกาย
    2) ดื่มน้ำให้พอ
    3).เพิ่มออกฃิเจนให้สมองด้วยการสูดหายใจ
         ยาวๆ 
    4).ใช้สมองเสมอ 
    5) เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ 
  คุณหมอจำแนกความสุขของสว.ไว้ 5อย่าง
    1) สุขสบาย คือสุขจากสุขภาพดี
    2) สุขสนุก   คือสุขจาการได้ทำกิจกรรมต่างๆ
    3).สุขสง่า.   คือสุขจากการได้รับการยกย่องยอมรับ
    4) สุขสงบ.   คือสุขทางใจจากศาสนา และอื่นๆ
    5) สุขสว่าง. .คือสุขจากการได้เรียนรุ้สิ่งใหม่
       สว.ทั้งหลายทุกเหล่าจงเรียนรู้ อย่างไม่สิ้นสุด นะคะ💪🏼💪🏼👌🏼👍🏼👍🏼👍🏼🌸🌸🌸

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

" ประโยชน์ของการนอนเร็วก่อน 4 ทุ่ม "

" ประโยชน์ของการนอนเร็วก่อน 4 ทุ่ม "
โดย นพ.กฤษดา เล่าให้ฟังถึงผลเสียของการนอนดึกว่า 
ทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมเร็วขึ้นดังนี้..

(1).."สมอง" 
(2)..หัวใจ 
(3)..หลอดเลือด
(4)..ต่อมไร้ท่อ 
(5)..ภูมิคุ้มกันร่างกาย

ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ก่อน4 ทุ่มก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 9 ประการ..

1. สมองสร้างเคมีฯที่มีประโยชน์กับอวัยวะ..
ต่างๆของร่างกาย สมองเป็นส่วนสำคัญในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังทำให้ร่างกายได้รับ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน), เคมีสุข (ซีโรโทนิน),ฮอร์โมนเพศและเคมีหนุ่มสาว(โกรทฮอร์โมน)แถมยังมีเคมีบำรุงออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยได้ด้วย

2. สมองมีความจำดีขึ้น..
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำและสมาธิมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง

3. คุมความดันโลหิตได้..
การนอนหลับเร็ว จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีววิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อนช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน

4. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ..
การนอนไวช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลาย ตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง

5. ได้ล้างพิษ..
เวลาที่เรานอนจะเป็นช่วง เวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น

6. ไม่อ้วนง่าย..
การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนัก ตัวได้ดีกว่า อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาใน ร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย

7. มีสุขภาพดีขึ้นถ้าเรานอนให้เร็วขึ้น..
เราจะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมอง ได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไร ก็มีความสุขได้ง่ายขึ้น

8. โรคไม่กำเริบ..
การนอนไวไม่เสี่ยงต่อโรคกำเริบ โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้า และโรคมะเร็ง

9. ชะลอความแก่..
นอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะ แค่นอนก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาว และช่วยให้หลับสนิททั้งหลายไม่ทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร จึงป้องกันความเสื่อมชรา

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

น้ำมะนาวโซดา... ลดไขมันลดน้ำตาลในเลือด

น้ำมะนาวโซดา... ลดไขมันลดน้ำตาลในเลือด 
 

"มะนาว" สมุนไพรที่ใช้ได้ประโยชน์มากในการปรุงอาหารให้อร่อย ส่วนใหญ่แล้วเราใช้แต่ส่วนที่เป็นน้ำในผลเท่านั้น ทั้งๆที่ทุกส่วนของต้นมะนาวใช้เป็นยาได้ทั้งหมด มะนาวเป็นพืชที่ปลูกได้ทั่วไป ต้นเดียวก็เก็บผลได้มาก แถมปีหนึ่งๆก็จะมีช่วงที่ราคาแพงมากลูกเล็กกว่าไข่แต่แพงกว่าไข่ทีเดียว มะนาวดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง มีดังนี้

•• สรรพคุณ
- ราก แก้ปวด แก้พิษไข้ ลดความร้อนในร่างกาย แก้กระหายน้ำ
- เปลือกราก เปลือกต้น แก้ไข้
- ใบ แก้ปวดหัว แก้ไข้ ละลายเสมหะ แก้ไอ เจริญอาหาร
- ผล กัดเสมหะ ฟอกโลหิต แก้ไอ แก้ปวดหัว แก้สิว รักษาน้ำกัดเท้า

••• ลดน้ำตาลในเลือด ระงับความกระหายน้ำในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- เมล็ด ขับเสมหะ แก้ไข แก้อาเจียน
- ผิว แก้ลมวิงเวียน ท้องขึ้นท้องเฟ้อ เบื่ออาหาร

>> ส่วนที่ใช้ลดไขมัน และน้ำตาล ในเลือด คือ น้ำจากผล

วิธีใช้ นำน้ำมะนาว 3- 4 ลูก ผสมน้ำโซดา 1 ขวด แช่น้ำแข็งดื่มแก้กระหายน้ำและลดเบาหวาน
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย

**รายงานผลการทดลอง

- Sethi N.pant MC ( 1995) ประเทศอินเดีย 
ทำการทดลอง น้ำมะนาวในกระต่ายทดลอง พบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของกระต่ายได้

- Li Linfu ; Li Hui และคณะ( ค.ศ 2005 ) ประเทศจีน 
ทำการทดลอง ในผู้ป่วยเบาหวาน โดยผสมยา glibenclamide กับผงจากน้ำมะนาว
พบว่า ลดระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเลือดได้

- Kaufmann Doug A ; Holland David A.( ค.ศ 2005) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ทำการทดลอง ให้น้ำมะนาวในคนไข้เบาหวานที่มีระบบเส้นเลือดผิกปกติ และให้ low carbohydrate พบว่า ผู้ป่วยดังกล่าวอาการเบาหวานดีขึ้น

- Hiramitus Masanori ; Okada miki และคณะ (ค.ศ 2007) ประเทศญี่ปุ่น 
ทำการทดลอง ให้น้ำมะนาวในผู้ป่วยเบาหวานเพศชาย พบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้


( ขอบคุณ สรรพคุณมะนาวจากหนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือดโดยเภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.gotoknow org/posts/546711

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

🌟การดูแลสมอง 10 ประการ🌟

เคล็ดลับดูแลสมองจากคนเก่ง "หนูดี - วนิษา เรซ"

🌟การดูแลสมอง 10 ประการ🌟

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผล
ให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็น ต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดี ระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มี ไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซี กินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติ
และ นั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วง
ที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี 
Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพ และมีความ คิดสร้างสรรค์ 

 4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการ โปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมอง จะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสาร เอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่ เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อน
ใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้ และสร้าง-สรรค์ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวันขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง 
โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี 

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆจึง
เป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง 

10. อย่าลืมแบ่งปันข้อมูลดีๆให้คนอื่นเสมอ เพราะสมอง
ของเราจะจดจำข้อมูลที่เราแบ่งปันให้คนอื่นได้มากกว่า ข้อมูลที่เรานั่งอ่านหรือท่องจำอยู่คนเดียว
GM😊

แกงไทยฆ่าเซลล์มะเร็งได้

แกงไทยฆ่าเซลล์มะเร็งได้

 ม.มหิดล ย้ำอาหารไทยดีที่สุด แกงไทยฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แกงนั้นคือ.....https://www.youtube.com/watch?v=BZUQWEN0TSY

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

8 เรื่องเล็กๆ ที่ควรทำบ่อยๆ(28 กันยายน 2558)

8 เรื่องเล็กๆ ที่ควรทำบ่อยๆ 

ตำราแพทย์จีนสอนมาว่า ๘พฤติกรรมในชีวิตประจำวันต่อไปนี้ ทำเถอะนะ สุขภาพดีแน่นอนค่ะ

๑.เคลื่อนไหวดวงตา การเพ่งสายตาไปที่จุดใดจุดหนึ่งนานๆเป็นการทำลายสายตาโดยตรง อย่างน้อยๆ ทุกหนึ่งชั่วโมงทุกคนควรบริหารสายตาด้วยการเหลือก ตาขึ้นบนเพดาน ค่อยๆกลิ้ง ดวงตาไปทางซ้าย วนลง ล่างแล้วกลอกไปทางขวาก่อนจะวนมาจบที่เพดานอีกครั้ง ทำหลายๆครั้งกล้ามเนื้อ ตาจะได้แข็งแรง

๒.กลืนน้ำลาย การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วย ออกกำลังกายกล้ามเนื้อบริเวณคอหอย กระตุ้นระบบ ย่อยอาหารให้ทำงานเป็น ปกติ🍐

๓.หวีผมถึงแม้ว่าการหวีผม บ่อยๆ จะไม่ช่วยให้ผมสวย ขึ้น แต่จะช่วยนวดเส้นประ สาทบนสมอง ทำให้ตาสว่าง รากผมแข็งแรงขึ้นเพราะมี เลือดไปเลี้ยงทุกครั้งที่เรา หวี

๔.นวดหู ที่หูของเรามีเส้นประสาทที่ เชื่อมต่อกับไตอยู่ การดึง ดีด บีบ ถูใบหูบ่อยๆ จึงกระตุ้นการทำงานของไตโดยตรงช่วยป้องกันอาการ เวียนหัว ได้ยินเสียงแปลก ปลอม

๕.ขยับลิ้นเวลานั่งว่าง ถ้าได้ดุนเพดานปากไปด้วย จะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำ ลาย ทำให้ปากสะอาด และขจัดกลิ่นปากไปในตัว

๖.ขมิบก้น วิธีแก้ท้องผูกที่ง่ายที่สุดก็คือการขมิบก้น ขมิบให้ได้วันละ ๓ เซ็ต เซ็ตละ ๕๐- ๑๐๐ ครั้ง ทุกครั้งที่เราขมิบก้น ลำไส้จะบีบตัว กำจัดของเสีย ที่ตกค้างไม่ให้อาละวาด ทำร้ายร่างกายของเรา

๗.ขบฟัน การขบฟันเบาๆบ่อยๆจะช่วยให้ฟันแข็งแรงและกระตุ้นการผลิตน้ำย่อย คนที่มีปัญหา เรื่องลำไส้ห้ามพลาด

๘.ถูแก้มและใบหน้า 
แกัมและใบหน้า เป็นส่วนที่ ขาดการออกกำลังกายมากที่สุดทั้งๆที่วิธีนั้นง่ายแสน ง่าย แค่ถูสบู่ไว้ที่มือทั้ง สองข้าง จากนั้นใช้ฝ่ามือ ถูหน้าเบาๆกระตุ้นการไหล เวียนโลหิต ทำให้เลือดมา เลี้ยงสองแก้มได้มากขึ้น และหน้าใสๆก็จะตามมาเอง...😇
ดีมากเลย ทำนะ ให้คนใกล้ชิดทำด้วย

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

จุดสัมพันธ์กับอวัยวะต่างๆบนเท้า(25 กันยายน 2558)

การนวดเท้าเพื่อสุขภาพและรักษาโรค

- ประโยชน์ของการนวด
การนวดเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ร่างกาย หรือของจิตใจ การนวดทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหายตึง ช่วยทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น เพิ่มระดับฮีโมโกลบิล การไหลเวียนของน้ำเหลืองสะดวกขึ้น และช่วยยึดข้อต่อกระดูก การนวดเป็นการรักษา เป็นกายบำบัด ออกกำลังบริหารอวัยวะต่างๆในร่างกาย ให้ทำงานได้เป็นไปตามปกติ เป็นการกระตุ้นปลายประสาท(เท้าข้างเดียวประกอบด้วยปลายประสาทประมาณ 7,000 เส้น) การนวดจุดต่างไจะช่วยกระตุ้นให้พลังงานไหลเวียนในส่วนต่างของร่างกายในแนวตั้ง และช่วยทำให้อวัยวะต่างๆของร่างกาย ทำงานได้ดีขึ้น เป็นการสร้างสมดุลย์ให้กับร่างกาย เมื่อสุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็จะดีขึ้น ช่วยขจัดรอยเหี่ยวย่นตามใบหน้าและส่วนต่างๆของร่างกาย ช่วบกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคในร่าฃกาย ทำงานได้ดีชึ้น
หัวใจ จะปรากฎที่ตำแหน่งเท้าซ้ายเพียงที่เดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่อวัยวะส่วนอื่นๆ จะปรากฎจุดบนสองฝ่าเท้า
- ประวัติความเป็นมาของการนวด
- การนวดเกิดขึ้นในประเทศจีนในยุคจักรพรรดิหวงตี้ ประมาณ 5,000 ปี จากปัจจุบัน สำหรับการนวดในประเทศไทยรู้จักกันแพร่หลายในสมัยอยุธยา
- ชาวจีนมีความเชื่อว่าในร่างกายของคนเรา มีเส้นลมปราณกระจายอยู่ทั่วๆไป ทำหน้าทีเป็นทางเดินของ เลือด ลม ส่งอาหารและพลังงานไปหล่อเลี้ยงเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ถ้าการไหลเวียนของเลือดลมเกิดอาการติดขัด ก็จะทำใก้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นได้
- ข้อห้ามสำหรับการนวดกดจุด
1) ห้ามหนวดในหญิงมีครรภ์
2) ห้ามนวดขณะมีประจำเดือน
3) ห้ามนวดภายใน 1 ชั่วโมง หลังรับประทานอาหารอิ่ม
4) ห้ามรับประทานส้ม และหน่อไม้ทุกชนิด ก่อนและหลังนวด



                                      




 




                                        



   





                                                          .........................จบ......................

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

ใช้อาหารให้เป็นยา(26 กันยายน 2558)

((ดอกบัว))อาหารเป็นยา((ดอกบัว)) 

โปรดบอกไปได้บุญครับ
((ดาว))1.ไขมันในเลือดสูง
แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินวันละ 10 กลีบ กินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว
--------------------------
((ดาว))2.ปวดหัว
ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง(แมกนีเซียม)กินวันละ 4 ขีดและกินปลาทูอีกวันละ 2 ตัว(น้ำมันปลาลดการอักเสบได้)หรือจะชงโกโก้กินก็ช่วยได้
-------------------------
((ดาว))3.เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้น และกินกระเทียม หอม พริกให้มากๆ
((ดาว))4.ภูมิแพ้
แค่กินฝรั่งวันละ 4 ชิ้นกินเมล็ดฝักทองวันละ 1 กำมือ(สังกะสี)
--------------------------
( (hexagram))5.แพ้ฝุ่นละอองไรฝุ่น 
หาโยเกิร์ตรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
------------------------------
((hexagram))6.โรค หืดหอบ ไอเรื้อรัง
กินต้มยำไก่ กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุดไว้ใต้หมอน
--------------------------
((hexagram))7.ไขข้ออักเสบ
หาปลาเนื้อมันกินวันละ 2 ขีด เช่น ปลาทู ปลาสวาย ปลาแซลมอน หรือปลากระป๋อง
-------------------------
((hexagram))8.กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยกินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ 3 มื้อ
------------------------
((hexagram))9.ท้องอืด 
แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อยๆ
---------------------
((hexagram))10.ท้องผุก
ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ 3 ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า/เย็น.
-------------------------
((hexagram))11.โรคกระเพาะอาหาร
หากล้วยหักมุกปิ้งกิน. กล้วยน้ำหว้าหรือกระหล่ำปีเยอะให้มาก
-------------------------
((hexagram))12.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย
ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทานเช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง น้ำขิง ชาขิง
--------------------------
((hexagram))13.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์แปรปรวนให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ 1 แผ่นหรือถั่วลิสงวันละ 1 กำมือ
-------------------------
((hexagram))14.หงุดหงิดง่ายให้กินอาหารร่าเริง คือข้าวเหนียวด ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและทูน่า
---------------------------
((hexagram))15.กระดูกพรุน
ให้กินงาดำวันละ 4 ช้อนโต๊ะ(ได้แคลเซียมมาก)
------------------------
((hexagram))16.ความจำไม่ดี
ให้กินปลาทูวันละ 2 ขีด หอยแครง และหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
------------------------
((hexagram))17.มะเร็งเต้านม
ให้กินบร็อกโคลีหรือคะน้าวันละ 5 ขีด
------------------------
((hexagram))18.มะเร็งปอดทางเดินหายใจให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วงให้มากเพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี
-------------------------
((hexagram))19.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ 1-2 ผลหรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั่งกากจะเป็นการล้างพิษไปในตัว
--------------------------
((hexagram))20.เจ็บอกโรคหัวใจ หลอดเลือดตีบกินปลาทะเล น้ำมันมะกอก ผลอโวคาโด เพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออกถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มวันละถ้วย
---------------------------
((hexagram))21.ความดันสูงต้องงดบุหรี่และความเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินหรือผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้จะช่วยควบคุมความดันให้ดีขึ้น
-------------------------
((hexagram))22.เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อกโคลีผักโขมให้มากถ้าอยากหวานให้กินส้มโอ และฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก

     *********************
    โรงพยาบาลธรรมชาติ
     บอกต่อยิ่งได้บุญมาก

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

สิ่งควรรู้ ก่อนขึ้นเตียง(26 กันยายน 2558)

สิ่งควรรู้  ก่อนขึ้นเตียง
(men)(women)...มีคนจำนวนมาก กลางวันไม่เป็นอะไร แต่พอกลางคืน กลับเสียชีวิต  เนื่องจากกลางคืนลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำเร็วเกินไป 
(heart)การลุกจากที่นอนอย่างกระทันหันทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมอง ความดันโลหิตลดต่ำ จนวิงเวียนล้มลงไป บางคนถึงกับกระดูกกะโหลกศีรษะแตก 

ส่วนบางคน...
(heart)หัวใจมีปัญหา กลางวันเต้นเป็นปกติ แต่กลางคืนกลับขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหดตัวเนื่องจากลุกจากที่นอนอย่าง กระทันหัน ความดันโลหิตลดต่ำลงขาดเลือด ไปเลี้ยงสมอง (heart)หัวใจก็หยุดเต้นได้ ถึงแม้จะไม่เสียชีวิตก็กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ไปก็มี

(CPU Chip)นักวิทยาศาสตร์ มักจะย้ำประโยคหนึ่งอยู่เสมอๆ ว่า
“ครึ่งนาที 3 อย่าง และครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง“

(flower)วลีนี้เป็นวลีสำคัญ ที่ไม่ต้องเสียเงินหามา แต่ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ เป็นจำนวนมาก

(12 and half)ครึ่งนาที 3 อย่าง หมายถึง 
(12 and half)1.เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้ว อย่าลุกจากที่นอนในทันที ให้นอนไว้ก่อนครึ่งนาที 
(12 and half)2.เมื่อนั่งขึ้นมาก็ให้นั่งอีกครึ่งนาที 
(12 and half)3.แล้วเอาขาทอดไว้ที่พื้นอีกครึ่งนาที

(12 and half)ส่วนครึ่งชั่วโมง 3 อย่าง หมายถึง 
(sparkling 1)1. ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ควรออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง (หนักเบา แล้วแต่ละบุคคล) 
(hexagram)2. ตอนเที่ยง ควรนอนกลางวัน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายจะมีพละกำลังเต็มที่ (เพราะผู้สูงอายุมักจะตื่นนอนแต่เช้า กลางวันจึง ควรพักผ่อนให้มาก)
(sparkling 2)3. ตอนเย็น ผู้สูงอายุควรเดินช้าๆ สักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ตอนกลางคืนหลับสบาย สามารถลดอัตราการเป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตีบและความดันโลหิตสูงได้

(loud volume)ขอให้ส่งต่อญาติสนิทมิตรสหาย
เพราะว่าความรู้นี้ สอนคนได้ ช่วยคนก็ได้  4วิธีง่ายๆในการปฐมพยาบาลดังข้างล่างนี้
(red check mark)1.สำลักอาหาร
วิธีจัดการ----แค่ยกมือขึ้นไป
(red check mark)2 ตกหมอน
คุณเคยตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าตัวเองตกหมอนนั้นก็คือปวดคอ ถ้าหากตกหมอน คุณควรทำอย่างไร
ถ้าหากตกหมอน แค่ยกขาขึ้นมา
จับนิ้วโป้งของเท้าค่อยๆนวดและหมุนตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
(red check mark)3. ขาเป็นตะคริว
เวลาขาซ้ายเป็นตะคริว  ให้ยกมือขวาขึ้นสูงๆ เวลาขาขวาเป็นตะคริว ให้ยกมือซ้ายขึ้นสูงๆ จะรู้สึกสบายผ่อนคลายทันที
(red check mark)4.  ขาชา
ถ้าขาซ้ายชาสบัดมือขวาจากช้าไปหาเร็ว ถ้าขาขวาชาก็สบัดมือซ้ายจากช้าไปเร็ว

ช่วยส่งต่อเถอะ ได้บุญกุศลมากมาย
(heart)รักนะ...... จึงห่วงใย....❤

รักษาไมเกรนด้วยสมุนไพร(26 กันยายน 2558)

รักษาไมเกรนด้วยสมุนไพร

มีพืชสมุนไพรหลายชนิดที่รักษา " ไมเกรน " ได้ดีดังที่จะนำเอามาแนะนำต่อไปด้งนี้ คือ กระเทียม ใบบัวบก ดอกแค พริกไทยดำ

กระเทียม

เอา "หัวกระเทียม" มาใช้เป็นยาแก้ อาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือ " ไมเกรน" ได้อย่างชะงัดนัก "หัวกระเทียม" ที่ใช้ในการปรุงอาหารต่าง ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้แหละ เอามาแก้ "ไมเกรน" ได้เลย

วิธีการก็ได้แก่ เอา หัวกระเทียม มาแกะออกเป็นกลีบ ๆ เอามารับประทานกันน้ำพริกก็ได้ เอามาผัดกับผักก็ได้ รับประทานสด ๆ ก็ดี โดยรับประทานครั้งละ 10 กลีบทุก ๆ วัน หรือจะเอา "กระเทียมแคปซูล" ก็ได้ เป็นกระเทียมที่บดละเอียดแล้ว เอามาบรรจุในแคปซูลกลืนกับน้ำสะอาดสะดวกสบาย าการปวดศรีษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ก็จะหายไปได้ในที่สุด ต้องรับประทานทุกวันต่อเนื่องกันไป

ใบบ้วบก

เอา " ใบบัวบก" มาเป็นยาสมุนไพรแก้ "ไมเกรน " ก็ได้อีกอย่างหนึ่ง

วิธีการก็คือเอามาทั้งเถา ใบและก้านใบรวมกันมาเลยเอามาล้างให้สะอาดเสียก่อน วิธีการทำเป็นยา เอาต้น เถา ใบบัวบกมาสัก 1 กิโลกรัม ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ เอามาโขลกละเอียดหรือเอามาปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้ากับน้ำสะอาด ต่อจากนั้นเอกมาต้ม เติมน้ำลงไปพอสมควรให้ท่วมต้มไปสัก 5 นาที เมื่อเดือดแล้วก็ยกลงเอามารองบีบเอากากทิ้งไป เอามาต้มอีกครั้งหนึ่ง ใส่เกลือป่นลงไปสัก 1 ช้อนชา เย็นแล้วดื่มเป็นยาได้ทันที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน และเย็น จะเติมน้ำตาลทรายลงไปด้วยเล็กน้อยพอหวานนิด ๆ ก็ได้

อาการ " ไมเกรน" ก็จะหายไปได้ในที่สุดเมื่อดื่มเป็นประจำแล้วประมาณ 1 สัปดาห์

"บัวบก " เป็นพืชสมุนไพรที่ดีมาก แก้ร้อนในกระหายน้ำก็ได้แก้ความดันโลหิตสูงก็ได้

อีกทั้งยังเอามาแก้ "ไมเกรน" หรืออาการปวดศีรษะข้างเดียวก็ยังได้อีกเลย

ดอกแค

เอา "ดอกแค" ที่ปลูกกันโดยทั่วไปตามบริเวณบ้านเรือน มาเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ได้ดีอีกอย่างหนึ่ง

เอา "ดอกแค" ทั้งดอกมาล้างน้ำให้สะอาด เอามาลวกจิ้มน้ำพริกกะปิก็ได้ เป็นอาหารไปเลย

เอา "ดอกแค " มาต้มกับซี่โครงหมู เป็น แกงจืด ก็ได้อร่อยดีด้วยแล้วก็เป็นยาสมุนไพรที่ดีแก้ "ไมเกรน" ได้อีก

เอา "ดอกแค" มาผัดกุ้งสดรับประทานเป็นอาหารเป็นกับข้าวก็ได้ มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี แถมยังเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือ "ไมเกรน" ก็ได้ เอา "ดอกแค " มาปรุงเป็นแกงส้ม ก็ได้ หรือ แกงเหลืองก็ได้

อาการ " ไมเกรน" จะหายไปได้ในไม่กี่วันหลังจากรับประทาน ดอกแค ไปแล้ว อาหารที่เป็นสมุนไพรด้วยนั้นนับว่าเป็นประโยชน์ดีจริง ๆ พืชสมุนไพรมากมายเอามาปรุงเป็นอาหาร เป็นกับข้าว เป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์มากหลายยิ่งนัก เมื่อรู้จักเอามาใช้ประโยชน์ก็เป็นประโยชน์อย่างที่สุด คุ้มค่าและมากด้วยของดี ๆ ไม่ใช่น้อยเลย

พริกไทยดำ

ใช้พริกไทยดำ 7 เม็ด เคี้ยวพริกไทยในปากข้างที่ปวดศรีษะทีละ 1 เม็ดก็ได้ พริกไทยจะละลายข้างกระพุ้งแก้วทำอย่างนี้จนหมด 7เม็ด พยายามไม่ดื่มน้ำตาม ( ให้กลืนไปเลย ) ให้รับประทานตอนก่อนแปรงฟันตอนเช้า ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค

การบริหารแกว่งแขนบำบัดโรค(จากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น)
ประโยชน์ของการแกว่งแขวน
1) เลือดลมเดินได้สะดวก และปรับสภาพเส้นเอ็น
2) รักษาโรคได้หลายอย่าง เช่นโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ โรคหัวใจ โรคประสาท โรคจิต โรคไต โรคโลหิต โรคตับ โรคอัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนนไม่หลับ และโรคเรื้อรังต่างๆ แทบทุกโรค โดยโรคต่างๆเกิดจากการเต้นของชีพจรที่ไม่สม่ำเสมอ เลือดลมที่เดินไม่สะดวก การแกว่งแขวนจะทำให้การหมุนเวียนของโลหิตดีขึ้นตามลำดับ และชีพจรก็จะเต้นได้สม่ำเสมอ เพียงแต่ต้องมีความขยันอดทน ทำสม่ำเสมอ เริ่มจากทำวันละ 500-1,000-2,000 ครั้ง ใช้เวลาวันละ 30 นาที (500 ครั้งใช้เวลาประมาณเกือบ 10 นาที)
3) พื้นฐานของการบริหารแกว่งแขวน
1. ยืนตรงเท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ระยะห่างเท่าหัวไหล่
2. ปล่อยมือ 2 ข้างตามธรรมชาติ ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
3. ทองน้อยหดเข้า เอ็วตั้งตรง เหยียดหลังผ่อนคลาย กระดูกลำคอ ศรีษะ และปาก ผ่อนคลายตามธรรมชาติ
4 จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส่วนสนเท้าออกแรงเยียบบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนกล้ามเนื้อโคนเท้า โคนขา และท้องตึง
5. บั้นท้ายควรให้งอขึ้นเบ็กน้อย หมายถึงระหว่างบริหารต้อหดก้น หรือขมิบทวารหนักคล้ายยกสูง ให้หดเข้าไปในลำใส้
6.ตามองตรงไปจุดใดจุดหนึ่ง จุดเดียว สลัดความคิดฝุ้งซ่าน กังวลออกให้หมด ทำสมาธิ
7. แกว่งแขวนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว แล้วแกว่งไปข้างหลังแรงหน่อยทำมุม 60 องศากับลำตัว จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงเองนับเป็น 1 ครั้ง ปล่อยน้ำหนักมือให้เหมือนลูกตุ้ม