วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

เก็บตกจากผู้มีสุขภาพดี


เก็บตกจากผู้มีสุขภาพดี

1. ควรเดินประมาณ 100 ก้าว หลังจากทานข้าวอิ่มแล้ว
2. ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันๆละ 30 นาทีทุกๆสัปดาห์
3. การออกกำลังกายทำให้หายป่วยการปวดหัวได้
4. การทำงานในวัยสูงอายุเป็นการทำให้เลือดไหลเวียนดี ไม่ซึมเศร้าเฉา

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

การทำให้ร่างกายมีอายุยืน โดยนายแพทย์ชาวญี่ปุ่นอายุ 102 ปี

การทำให้ร่างกายมีอายุยืน 

โดยนายแพทย์ชิเงะอะกิ อิโนฮะระ ชาวญี่ปุ่นอายุ 102 ปี
   แหล่งที่มา นายแพทย์ชิเงะอะกิ อิโนฮะระ  เขียน       ฉวีวงศ์  อัศวเสนา  แปล
พิมพ์ที่ สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ กทม

เครื่องดื่มน้ำผักและผลไม้


เครื่องดื่มน้ำผักและผลไม้


# ไม่ได้รับค่าสปอนเซอร์มา หรือขายเพจไปแล้วนะครับ !! # 

คือปกติผมจะชอบซื้อเครื่องดื่มน้ำผักและผลไม้ดื่มเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะถึงแม้จะได้รับแคลอรีพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับไปดื่มน้ำอัดลม หรือชาเขียว กาแฟ อย่างน้อยก็ยังได้วิตามินมีประโยชน์แถมมาด้วย

โดยผมมักจะดูข้างกล่องด้วยว่ายี่ห้อไหนรสไหนให้ % วิตามินที่ควรได้รับต่อวันเท่าไหร่ กินมานานแล้วที่เห็นมักจะเด่นอันใดอันหนึ่งเช่น วิตามิน ซี 150 % วิตามินอื่น 20 % หรือเด่น 2 อันเช่น วิตามิน เอ และ อี 150 % กระท่อนกระแท่นไม่ค่อยเจออันไหนให้ครบทุกวิตามิน

เพิ่งมาเจอ Tipco น้ำผักผสมผลไม้สูตรบีทรูท นี่แหละ ที่มีน้ำของหลายอย่างผสมกัน และได้วิตามิน เอ บี 1 บี 2 ซี อี ประมาณ 100 % ต่อวัน ครบทุกอัน ไฟเบอร์ก็เยอะ รสชาติกึใช้ได้
- เจอน้ำในฝันแล้ว !! -

เผื่อใครคอเดียวกับผมชอบซื้อน้ำผักผลไม้มาดื่ม ก็แนะนำมาลอง ทิปโก้ บีทรูทนี้กันดูนะครับ


แหล่งที่มา Facebook


วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

โรคกรดไหลย้อน

                             โรคกรดไหลย้อน

อาจเป็นโรคที่ฟังแล้วดูไม่ร้ายแรงอะไร แต่รู้หรือไม่ว่า คนไทยป่วยเป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ดังนั้น จึงควรรู้เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคกรดไหลย้อนจะดีกว่า

ลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนจะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ มีอาการจุกแน่นบริเวณหน้าอก หรือแสบหน้าอก เหมือนมีก้อนติดอยู่ในลำคอ หายใจไม่ออกเวลานอน กลืนอาหารลำบาก ถ้าเป็นมาก จะเจ็บคอมาก จนอาจจะกลืนอาหารแทบไม่ได้ คลื่นไส้ มีอาการเรอเปรี้ยว หรือรู้สึกถึงรสขมของน้ำดี รสเปรี้ยวของกรดในปากหรือลำคอ มีเสมหะอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดเวลา

ทั้งนี้ ภาวะของโรคกรดไหลย้อน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ

1 - ผู้ป่วยมีภาวะกรดไหลย้อนบ้างในบางครั้ง เป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง แล้วก็หายไป

2 - ผู้ป่วยจะมีอาการกรดไหลย้อนขึ้นมาเฉพาะที่บริเวณหลอดอาหาร

3 - ผู้ป่วยมีกรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารมาก จนไหลขึ้นไปถึงกล่องเสียงหรือหลอดลม





สำหรับสาเหตุของโรคกรดไหลย้อน อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ได้แก่ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ, กระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารบีบตัวอย่างผิดปกติ รวมถึงพฤติกรรมบางอย่างของผู้ป่วยเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดโรคกรดไหลย้อนด้วย เช่น รับประทานอาหารเสร็จยังไม่ถึง 4 ชั่วโมงแล้วนอน สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม รับประทานอาหารประเภทของทอด ของมัน หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยวจัดเผ็ดจัด

 ชอบใจในเนื้อหา "Like & Share" เพื่อสุขภาพที่ดีในทุก ๆ วัน ขอกำลังใจให้ Admin แค่คลิก "Like..ถูกใจ" บนหน้าเพจนะคะ:https://www.facebook.com/CKHealthyTips

¯˜"*°• •°*"˜¯`´¯˜"*°• •°*"˜¯` ´¯˜"*°´¯˜"*°• •°*"˜¯
CK Healthy Tips สนับสนุนให้คนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้านะคะ
www.thaiwellnessonline.com/sampling
แหล่งที่มาจาก Facebook
ข้อมูลจาก www.thaihealth.or.th
ภาพโดย ManagerOnline

ความรู้เรื่องมะเร็ง


                              ความรู้เรื่องมะเร็ง

....หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์


1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเรงจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน

b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
นี่คือเรื่องที่คุณควรส่งออกไปให้คนที่มีความสำคัญกับชีวิตคุณได้รับรู้รับทราบ



                                                                                                     แหล่่งที่มา Facebook

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของเห็ด


ประโยชน์ของเห็ด

 




  






ที่มา : ศุนย์อาหารไร่ BN  จ.เพขรบูรณ์


                                                จบการนำเสนอ THE END



การออกกำลังกายด้วยตะบองท่อPVC 11 ท่า


การออกกำลังกายด้วยตะบองท่อPVC 11 ท่า


ใช้ตะบองท่อ PVC ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาว 1.50 เมตร





 








ที่มา : สวนป่าพนาวัน จ.เลย


                                                จบการนำเสนอ THE END

ภาพจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศไทย


ภาพจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศไทย
การป้องกันมะเร็ง




















 




ที่มา : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ


                                                จบการนำเสนอ THE END


วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รวบรวม Page สุขภาพ จาก FB

1. อาหารล้างพิษ 20 ชนิด


                                        ที่มา https://www.facebook.com/ChinMed/app_137541772984354



2. เห็ดไข่เหลือง (ไข่ห่าน)


                    เมื่อวานออกตรวจคนไข้ที่ OPD กับนักศึกษา มีคุณตามาตรวจด้วยอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย ซักดูทราบว่าเมื่อ 6 วันก่อนคุณตากินเห็ดไข่เหลือง (ไข่ห่าน) แต่ในชามนั้นมีเห็ดลักษณะคล้ายกันสีขาวปนอบู่ด้วย ระหว่างที่ตรวจอยู่ ลูกที่มาด้วยก็รับโทรศัพท์จาก รพ.นครพิงค์แจ้งว่าแม่ หรือภรรยาของคุณตาที่กินเห็ดด้วยกันแล้วป่วยตับวายรุนแรง ถูกส่งตัวมาจากแม่สะเรียงก่อนหน้านี้ ขณะนี้หัวใจหยุดเต้น แพทย์กำลังปั้มอยู่ เธอยืนไม่อยู่ คุมสติแทบไม่ได้ รีบไปดูแม่ ต้องทิ้งพ่อไว้ให้พวกเราดูแล

ผมรู้สึกหนักหัวใจ
การสูญเสียคนที่รักทีละทีละคนติดต่อกันแบบนี้ ไม่มีใครตั้งตัวได้
ครอบครัวนี้เสียชีวิตไปแล้ว 3 คน อาการหนักอีกหลายคน
ก่อนหน้านี้เพียงอาทิตย์เดียวก็มีกรณีเช่นนี้ ตายไป 8 คนจาก2 ครอบครัว

หลายคนคิดว่านี้คือ อาการพิษของ Amaita phalloides (Death cap) แต่จริงๆแล้ว case ส่วนใหญ่เป็น Amanita virosa (Destroying angel)
จากการเดินป่ามาหลายปีของผมกับแม่ (แม่เชี่ยวชาญเห็ดมาก เก็บกินเองตั้งแต่เด็ก) เราแทบไม่เคยเจอ A.phalloides เลย แต่พบ A.virosa บ่อยตามป่าสนเขา ในเดือน พฤษภาคม (ช่วงเวลาและ habita เดียวกับเห็ดไข่ห่านที่กินได้)

เห็ดตระกูลนี้มีที่กินได้(และอร่อยมาก) คือ Amanita hemibapha Amanita ceasarea เห็ดไข่ห่าน (เหนือ) เห็ดระโงก (อีสาน) (และชื่อพื้นเมืองอื่นๆ)ลักษณะคล้ายกับ A.virosa โดยเฉพาะตอนยังไม่บาน แต่สีขาวโพลนและมีขุยเล็กน้อย

ช่วงนี้มีเหตุการณ์แบบนี้เข้ามาเป็นระยะ กระจายทั่วภาคเหนือและอีสานตอนบน
ผมจะคุยและขอร้องกับทางสาธารณะสุขจังหวัดให้ช่วยรณรงค์ เรื่องนี้ทุกเดือนเมษา พค.
ตั้งใจว่าจะทำposter รณรงค์ด้วยครับ

เพื่อนที่เป็นแพทย์ พยาบาลอยู่ในภาคเหนือ และภาคอีสานตอนบน (เลย) ช่วยกันออกเสียงตามสาย เผยแพร่ความรู้ด้วยครับ ให้งดกินเห็ดไข่ห่านหรือระโงกที่มีสีขาว หรืด ที่ออกเขียวโดยเด็ดขาด และอย่าเก็บเห็ดที่มียังเป็นตุ่มยังไม่บาน ลักษณะต่างไม่เห็นชัด
ผมคิดว่าเราได้ยิน เรื่องเศร้าแบบนี้มามากพอแล้วครับ

 ที่มา https://www.facebook.com/rungsrit.kanjanavanit



3. ออกกำลังกายตอนไหนดี ?


ออกกำลังกายตอนไหนดี ?
บางตำราก็บอกว่า ตอนเช้าหลังจากตื่นนอน บางตำราก็บอกว่า ตอนเย็น ? 

วิทยาศาสตร์การแพทย์และการกีฬาต่างเห็นพ้องกันว่าการออกกำลังกายตอนเช้า ดีที่สุดโดยเฉพาะในรายที่ต้องการลดน้ำหนัก การออกกำลังไม่ว่าจะแบบแอโรบิคหรืออื่นใด ก่อนอาหารเช้าจะมีผลเผาผลาญไขมันได้มากกว่าเวลาหลังอาหาร

เพราะหลังจากอดอาหารขณะนอนหลับมาหลายชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือด และน้ำตาลที่สะสมตามกล้ามเนื้อและตับจะมีปริมสณต่ำที่สุด ดังนั้นพอออกกำลังกาย ร่างกายจะไปดึงไขมันที่สะสมออกมาเป็นแหล่งพลังงานทันที แต่หากคุณมีข้อจำกัดไม่สามารถออกกำลังในเวลาดังกล่าวได้ ก็ควรออกกำลังหลังทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2-3ชั่วโมง

มีการแพร่ความเชื่อว่าก่อนออกกำลังต้องทานอะไรเข้าไปเพื่อให้เป็นแหล่งพลังงาน นับได้ว่าผิดหลักการอย่างยิ่ง เพราะการออกกำลังครั้งนั้นจะไม่เกิดผลเผาผลาญไขมันส่วนเกินแต่อย่างใด เพราะร่างกายจะหันไปใช้น้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตที่เราเพิ่งทานหรือดื่มเข้าไปก่อนออกกำลังนั่นเอง ยิ่งหากว่าคุณทานหรือดื่มอาหารเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงๆ ก็ปิดประตูไปเลยสำหรับการเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่คุณต้องการ

มีความจริงที่คุณควรทราบก็คือการลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายอย่างเดียวนั้นประสบความสำเร็จน้อย

ในปี 2009 มีการตีพิมพ์รายงานการศึกษาใน วารสาร British Journal of Sports Medicine พบว่า ผลการลดน้ำหนักในคนอ้วน จำนวน 58 คนที่เข้าร่วมโปรแกรมออกกำลังแอโรบิคตลอด 12 สัปดาห์ เฉลี่ยลดได้ประมาณ 7 ปอนด์ ( ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค) แต่บางคนแทบไม่ลดเลยก็มี

ย้อนกลับไปดูผลการศึกษาของ University of Colorado School of Medicine โดยกลุ่มทดลองอาศัยภายในห้องที่ติดตั้งเครื่องวัดอัตราการเผาผลาญพลังงาน หลังจากการบริโภคอาหารประเภทไขมัน และคาร์โบไฮเดรตเปรียบเทียบกัน เพื่อศึกษาว่าการออกกำลังกายจะมีผลต่อเนื่องในการเผาผลาญไขมันระหว่างวันอย่างไร? ปรากฏว่าการออกกำลังไม่ได้เผาผลาญไขมันใดๆ นักวิจัยสรุปว่าการออกกำลังหนักๆจะมีผลไปดึงนำ้ตาลที่สะสมในกล้ามเนื้อและตับออกมาใช้งาน แต่ไม่ได้ดึงไขมันออกมาใช้งาน แต่หากออกกำลังเบาๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป กลับจะมีผลในการเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า

ผลการวิจัยนี้สนับสนุนให้ควบคุมการบริโภคอาหารมิให้มีแคลอรี่ส่วนเกินร่วมกับการออกกำลังอย่างสมำ่เสมอ

อ่านมาอย่างนี้แล้วคนขี้เกียจออกกำลังอาจกระหยิ่มได้ใจ

แต่ขอย้ำว่าถึงแม้การออกกำลังกายจะมีผลลดน้ำหนักได้ไม่มากนัก แต่การออกกำลังนั้นมีคุณค่ามหาศาลต่อหัวใจ ความดันโลหิต ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื่อและไขข้อ ปรับสมดุลฮอร์โมนและสภาพจิตและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

เรียบเรียงจากงานเขียนของ นายแพทย์ Andrew Weil, M.D.



 ที่มา  https://www.facebook.com/2012Wellness




4. สรรพคุณชองขิง


“ขิง” มีสรรพคุณมากมาย ในญี่ปุ่นพบว่าขิงสดใช้รักษาผิวส้ม หรือผิวเซลลูไลท์ได้ด้วย คุณเคยทราบไหมว่า “ขิง” นำมาใช้ในด้านความงามได้ โดยใช้ขิงสดขูดเป็นฝอย แล้วนวดละเลงลงบนต้นขา ก้น หรือส่วนที่เป็นไขมันผิวส้ม หรือเซลลูไลท์ ขิงจะช่วยทำให้ผิวส้มขรุขระนั้นกระจายตัว ลดความขุรขระ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเรียบเนียนขึ้น

โดยทั่วไปขิงมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล

ขิงมีรสเผ็ดตามความแก่อ่อนของอายุขิง ขิงอ่อนมีรสเผ็ดน้อย ขิงแก่จะมีรสเผ็ดมากขึ้นตามลำดับ

จีนเป็นชนชาติเก่าแก่ ที่มีการใช้ประโยชน์ จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณ จัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น มีฤทธิ์ร้อน แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคอเลสเตอรอล ที่สะสมในตับและเส้นเลือด ชาวบ้านทั่วไปจะรู้ดีว่า ถ้าต้มขิงกับน้ำตาลอ้อย จะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้าง จะช่วยแก้ปวดหัว และถ้าเอาขิงสอดไว้ใต้ลิ้น จะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดี

ขิง ภาษาอังกฤษ GINGER ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Rosc. วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น ขิงแกลง ขิงแดง(จันทบุรี) ขิง (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน)
***************** **********
เครดิต เรื่อง ชีวอโรคยาเรียบเรียงจาก women.thaiza.com อ้างอิงข้อมูลจาก คุณประโยชน์สมุนไพรไทย
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต ชีวอโรคยา นำมารวมเป็นภาพเดียวกัน

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา



5. สรรพาคุณใบย่านาง


"ใบย่านาง" ..... สรรพคุณ ลดความดันโลหิต แก้โรคเบาหวาน 
ลดความอ้วน

ใบย่านางหากพูดกับคนรุ่นใหม่แล้ว บางทีอาจจะไม่รู้จัก แต่หากพูดกับคนรุ่นกลาง ๆ คนแล้วก็จะรู้ดีว่าใบย่านางมีประโยชน์อยางไร ใบย่านางที่เราเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เห็นปู่ย่าตายาย นำใบย่านางมาประกอบอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นสมุนไพรชั้นเลิศเลยทีเดียว เพราะว่าใบย่านางมีสรรพคุณมากมาย ซึ่งเราก็จะได้ทราบกัน
ต่อไป

ใบย่านางนั้นมีสมุนไพรลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ มะเร็ง,ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน,ไมเกรน,ริดสีดวงทวาร,ปอดร้อนนอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
สรรพคุณเยอะแบบนี้ หลังจากเจอปัญหาด้านการจราจรในเมืองใหญ่ อันเป็นผลมารถยนต์คันแรก ก็หันมาทำน้ำใบย่านางทานกันให้ใจเย็นดีกว่า

ส่วนผสม
-ใบย่านาง
-ใบเตย
-น้ำเปล่า

วิธีทำน้ำใบย่านาง
1.นำใบย่านางมาประมาณ 30–50 ใบ ต่อน้ำ 4 ลิตรครึ่ง
2.ผสมใบเตยประมาณ 10 ใบ ขยี้กับน้ำให้สะอาด
3.ตำหรือปั่นด้วยมือ กรอกด้วยผ้าขาวบาง นำกากมาปั่นซ้ำ
จนหมดสีเขียว
4.กรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ในตู้เย็น ทานได้ประมาณ 4–5 วัน

ผู้ป่วยเบาหวานควรทาน เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง
คนที่เป็นเบาหวาน ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เหตุที่ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เพราะร่างกาย เกิดภาวะร้อนเกินไป ระบบการทำงานของร่างกายจึงป้องกันตนเอง ไม่ให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน เพื่อไม่ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (หากร่างกายเผาผลาญน้ำตาลร่างกาย จะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก) น้ำตาลเมื่อไม่ถูกเผาผลาญก็อยู่ในกระแสเลือด แต่ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เซลล์จึงขาดน้ำตาล
มีอาการอ่อนเพลียง่าย
จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น ใบย่านางมีฤทธิ์เย็นมาก เมื่อร่างกายได้เย็นลงแล้ว ระบบการทำงานของร่างกายจะสั่งตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน เซลล์เมื่อได้รับน้ำตาลและใช้น้ำตาลได้ อาการอ่อนเพลียจึงหายไป
พอเราทราบว่าใบย่านางนี้มีประโยชน์มาก ๆ แล้ว และเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านเราก็ควรที่จะอนุรักษ์และนำมารับประทานซึ่งเป็นพืชสมุนไพรพื้นฐานที่หาง่ายใกล้ตัว แต่มีสรรพคุณดีมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 ที่มา  http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=quick&month=25-01-2013&group=5&gblog=46



 6. 10 เหตุผล ทำไมต้องเลี่ยงอาหารจีเอ็มโอ

10 เหตุผลถกให้ขาด ทำไมต้องเลี่ยงอาหารจีเอ็มโอ
เรื่องของพืชดัดแปลงพันธุกรรมที่ถกกันมายาวนาน ผู้นิยมก็จะให้เหตุผลว่า เมื่อนำวัตถุดิบที่มากมายไปเป็นอาหารก็จะแก้ปัญหาความยากคนจน และสร้างผลประโยชน์ให้แก่เกษตรกร แถมยังไม่บ่งชี้อันตรายชัดแจ้ง แล้วฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยควรจะเตรียมเหตุผลซักค้านอย่างไรดี

10 เหตุผลสำคัญในการโต้เถียง เพื่อจะเลี่ยงการใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ/จีเอ็ม) ผ่านหนังสือขายดีของ เจฟฟรีย์ สมิธ (Jeffrey Smith) จากสถาบันการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ "ไออาร์ที" (The Institute for Responsible Technology : IRT) ไปดูกันว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านจีเอ็มโอได้แนะนำให้เราตอบโต้อย่างไรบ้าง

1. สิ่งที่ตัดแต่งพันธุกรรมไม่ดีต่อสุขภาพ
สถาบันอนามัยสิ่งแวดล้อมอเมริกัน (American Academy of Environmental Medicine : AAEM) ได้ขอให้แพทย์สั่งอาหารปลอดจีเอ็มโอให้แก่ผู้ป่วย โดยอ้างถึงการทดลองในสัตว์ที่แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารจีเอ็มทำลายอวัยวะภายใน ทำให้ระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันบกพร่อง อีกทั้งยังเร่งอายุ และเกิดภาวะการมีบุตรยาก

นอกจากนี้ผลการศึกษาในมนุษย์ก็ยังชี้ให้เห็นว่า อาหารจีเอ็มที่บริโภคเข้าไปนั้น อาจมีวัตถุแปลกปลอมหลงเหลือไว้ในร่างกาย และจะเกิดปัญหาในระยะยาว ซึ่งเคยพบสารพิษฆ่าแมลงจากข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมในเลือดของหญิงมีครรภ์ และยังพบสารเดียวกันนี้ที่ทารกในครรภ์ของพวกเธออีกด้วย

ปัญหาสุขภาพจำนวนมาก ปรากฏเพิ่มขึ้นหลังจากเทคนิคการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี 1996 หลังจากนั้น ชาวอเมริกันเกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรังเพิ่มขึ้นจากเดิม 7% เป็น 13% ในระยะเวลาเพียง 9 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพ้อาหารที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น ออทิสติก ปัญหาการสืบพันธุ์ และการย่อยอาหาร

แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาชี้ว่า ต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นมาจากอาหารตัดต่อพันธุกรรม แต่ทีมแพทย์จาก AAEM ก็ไม่รีรอผลสรุป พวกเขาต้องการให้เราเริ่มปกป้องตัวเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากอาหารมากกว่าผู้ใหญ่

นอกจากนี้ สมาคมสาธารณสุขอเมริกัน (American Public Health Association) และ สมาคมพยาบาลอเมริกัน (American Nurses Association) ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ กลุ่มที่ออกมาประนามการใช้จีเอ็มโอเพื่อสร้างโกรว์ธฮอร์โมนในวัว เพราะทำให้ได้นมที่มีฮอร์โมน IGF-1 มากเกินไป ซึ่งฮอร์โมน IGF-1 นี้เกี่ยวข้องกับมะเร็งในร่างกายมนุษย์

2. จีเอ็มโอทำพันธุกรรม "ปนเปื้อน"ตลอดกาล
ละอองเรณูและเมล็ดของพืชตัดต่อพันธุกรรมสามารถปลิวไปปะปนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความสะอาด จนไม่เกิดการปนเปื้อนในระบบดับยีน ซึ่งการแพร่พันธุ์ด้วยตัวพืชชนิดนั้นๆ จะเกิดขึ้น และมลพิษดังกล่าวจะอยู่ยาวนานทนทานกว่าภาวะโลกร้อน หรือกากนิวเคลียร์ ดังนั้นผลเสียจะเกิดขึ้นต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในอนาคต เพราะการปนเปื้อนของพืชจีเอ็ม จะส่งผลต่อการเกษตรอินทรีย์และการเกษตรกรที่ไม่ต้องการพืชจีเอ็มโอ นั่นจะกระทบถึงเศรษฐกิจโลกโดยตรง

3. การเกษตรจีเอ็มโอเพิ่มการใช้ยาฆ่าหญ้า
พืชจีเอ็มที่พัฒนาขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพื่อให้ทนทานต่อการใช้สารกำจัดวัชพืช อย่างเช่น มอนซานโต้ ที่จำหน่ายพืชราวน์ดอัพ เรดี (Roundup Ready crops) ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อให้อยู่รอดจากสารฆ่าวัชพืชยี่ห้อเดียวกัน

ในช่วงปี 1996 - 2008 เกษตรกรสหรัฐฯ ฉีดสารฆ่าวัชพืชในแปลงปลูกพืชจีเอ็มเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบถึง 2 แสนตัน ที่เกิดการใช้มากเกินไปเช่นนี้ก็เพราะพืชจีเอ็มที่ต้านทานสารฆ่าหญ้าของราวนด์อัพ ทำให้เกษตรกรกล้าฉีดสารเหล่านี้หนักขึ้นเพื่อกำจัดวัชพืชให้หมดเกลี้ยง

การใส่สารกำจัดวัชพืชมากมายกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงตกค้างในพืชต่างๆ ดังนั้นเมื่อนำมาปรุงอาหาร สารเหล่านี้ก็ติดตามมาด้วยในจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อฮอร์โมน ระบบการสืบพันธุ์ และมะเร็งตามมาในที่สุด

4. พันธุวิศวกรรมสร้างผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
ด้วยการผสมยีนจากสายพันธุ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน โดยไม่คำนึงถึงประเภทของยีนที่นำมาใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิด รวมทั้งกระบวนการแทรกยีนเข้าแทนที่ อาจสร้างสารพิษชนิดใหม่ หรือสารก่อภูมิแพ้ สารก่อมะเร็ง และภาวะการขาดสารอาหาร

5. การกำกับดูแลของรัฐบาลหละหลวมเป็นอันตราย
รัฐบาลส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อประเด็นความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของจีเอ็มโอ ไม่ว่าจะเป็นข้อบังคับหรือกฎหมายที่ไม่เท่าทัน นั่นอาจเป็นเพราะเหตุผลด้านการเมือง

อย่างองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (US Food and Drug Administration : FDA) ก็ไม่ได้เรียกหาผลการศึกษาทางด้านความปลอดภัยของอาหารจีเอ็ม หรือแม้แต่การบังคับให้ติดฉลาก แต่ปล่อยให้ผู้ผลิตอาหารจีเอ็มต่างๆ สามารถวางขายได้ ซึ่งทางเอฟดีเอเห็นว่า ยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะชี้ว่า อาหารจีเอ็มนั้นต่างจากอาหารปลอดจีเอ็ม หรืออินทรีย์อย่างไร

อย่างไรก็ดี แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ของเอฟดีเอเอง ก็ยังบอกว่า อาหารจีเอ็มนั้นสามารถก่อผลที่ไม่อาจคาดเดาได้ รวมทั้งยังยากที่จะตรวจสอบผลข้างเคียง แม้พวกเขาจะถกเถียงและศึกษาถึงผลความปลอดภัยในระยะยาว แต่ทางทำเนียบขาวมีนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีบริษัทพัฒนาเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่หนุนหลัง จึงทำให้เอฟดีเอสนับสนุนอาหารจีเอ็ม

6. ใช้กลวิธีเดียวกับ "วิทยาศาสตร์ยาสูบ" ย้ำความปลอดภัย
บริษัท เทคโนโลยีชีวภาพบอกชาวโลกว่า ฝนเหลือง (Orange Agent) , พีซีบี (PCBs) และยาฆ่าแมลง (ดีดีที) มีความปลอดภัย โดยพูดแบบผิวเผิน ใช้อุบายเป็นงานวิจัย เหมือนเช่นที่กลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบทำ โดยตั้งกองทุนศึกษาเรื่องของจีเอ็มโอ แสดงถึงผลดี ออกแบบงานวิจัยที่หลีกเลี่ยงการค้นหาปัญหา หรือผลไม่พึงประสงค์ของการพัฒนาพืชตัดต่อพันธุกรรม ทั้งหมดเพื่อจะทำให้เราเชื่อว่า จีเอ็มโอมีความปลอดภัย

7. การวิจัยและรายงานอิสระถูกโจมตี
นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบปัญหาเกี่ยวกับการตัดแต่งพันธุกรรมได้ถูกโจมตี ขมขู่ และปฏิเสธการให้ทุน แม้แต่วารสารเนเจอร์เองก็ยอมรับว่า มีอุปสรรคขนาดใหญ่ขวางกั้นนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ทั้งการใส่ร้ายป้ายสีงานวิจัย และทำให้เสียชื่อเสียง เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลเหล่านี้ ไม่ช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในทางวิชาการ อีกทั้งสื่อที่จะเข้าไปเผยแพร่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังถูกเซ็นเซอร์อีกด้วยซ้ำ

8. การตัดแต่งพันธุกรรมเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
พืชจีเอ็มและสารเคมีกำจัดวัชพืชที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นอันตรายต่อ นก แมลง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ รวมถึงระบบนิเวศทางทะเล และสิ่งมีชีวิตในดิน การทำเช่นนี้ลดความหลากหลายทางชีวภาพ, ก่อให้เกิดมลพิษในแหล่งน้ำ และไม่ยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น พืชจีเอ็มได้กำจัดแหล่งที่อยู่อาศัยของผีเสื้อจักรพรรดิ ซึ่งทำให้จำนวนประชากรของผีเสื้อดังกล่าวลดลง 50% ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ สารกำจัดวัชพืชราวนด์อัพยังถูกชี้ว่า เป็นต้นเหตุให้เกิดความผิดปกติของการสืบพันธุ์สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นตัวอ่อนตายและต่อมไร้ท่อหยุดชะงัก

ยังมีความเสียหายในอวัยวะสัตว์ ที่แม้จะมีปริมาณที่ต่ำมาก เช่น มีการพบคาโนลาตัดต่อพันธุกรรมในป่าที่นอร์ท ดาโกตา และแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมียีนทนสารฆ่าวัชพืชปนเปื้อน

9. จีเอ็มโอไม่เพิ่มผลผลิต และไม่ช่วยแก้ปัญหาปากท้อง
ในขณะที่การเกษตรยั่งยืนแบบปลอดจีเอ็มโอในประเทศกำลังพัฒนามีผลแน่ชัดว่า ผลผลิตเพิ่มขึ้น 79% และสูงกว่าการปลูกพืชจีเอ็ม ซึ่งเป็นข้อมูลจากกลุ่มสหภาพนักวิทยาศาสตร์ผู้มีความห่วงใยต่อสังคม (Union of Concerned Scientists) เมื่อปี 2009 ที่ได้รายงานถึงความล้มเหลวของผลผลิตพืชจีเอ็ม

นอกจากนี้ รายงานของกลุ่มการประเมินความรู้ทางการเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาสากล (International Assessment of Agricultural Knowledge, Science and Technology for Development : IAASTD) ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ร่วมกันเขียนกว่า 400 คน จากการสนับสนุนของรัฐบาลอีก 58 ประเทศ ยืนยันว่า พืชจีเอ็มมีผลผลิตสูงในบางกรณี และในบางกรณีก็มีผลผลิตลดลง

รายงานฉบับดังกล่าว ระบุว่า การประเมินเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมนั้นล่าช้า ยังขาดเรื่องการพัฒนาข้อมูล และความขัดแย้ง รวมถึงความผลประโยชน์ที่ไม่ชัดเจน และความเสียหายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยในรายงานฉบับนั้น เชื่อว่า เทคโนโลยีจีเอ็มโอในปัจจุบัน ยังไม่ใช่ตัวช่วยแก้ลดปัญหาความหิวโหยและขาดอาหาร รวมถึงยังไม่สามารถปรับปรุงสารอาหาร สุขภาพ และชีวิตในชนบทได้ อีกทั้งไม่ได้อำนวยความสะดวกให้แก่สังคม และไม่ได้สร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

ในทางตรงกันข้าม จีเอ็มโอใช้เงินและทรัพยากรมากยิ่ขึ้น เพื่อสร้างให้เห็นว่าเทคโนโลยีดังกล่าว ปลอดภัย เชื่อถือได้ และมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้

10. จีเอ็มโอไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค
เราสามารถหลีกเลี่ยงจีเอ็มโอได้ โดยการปฏิเสธ ผลักดันให้ออกไปจากห่วงโซ่อาหาร เพราะจีเอ็มโอไม่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค แม้ว่าจะมีการปฏิเสธอยู่น้อยนิด แต่ในที่สุดส่วนผสมที่เป็นจีเอ็มในท้องตลาดก็จะกลายเป็นสิ่งที่ผิด บริษัทอาหารก็จะนำออกไป

ในยุโรป เมื่อปี 1999 หลังจากมีการตีพิมพ์งานวิจัยถึงความผิดพลาดของจีเอ็มโอ ก็ส่งผลให้ประชาชนผู้บริโภค ตื่นตัวกับอันตรายดังกล่าว ขณะที่ในสหรัฐฯ เมื่อมีกรณีการใช้โกรว์ทฮอร์โมนตัดต่อพันธุกรรมในวัว ก็ส่งผลให้เกิดการผลักดันให้เลิกใช้วัวประเภทนี้ผลิตนม โดยมีวอลมาร์ท สตาร์บักส์ ดานนอน และบริษัทผลิตนมส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ร่วมกันผลักดัน

เจฟฟรีย์ สมิท เป็นผู้อำนวยการสถาบันการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ และเป็นหนึ่งในผู้นำหลักในการต้านอาหารจีเอ็ม หนังสือของเขา "Seed of Deception" (เมล็ดพันธุ์แห่งการหลอกลวง) จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ที่สำคัญของประชาชน และแม้กระทั่งการออกกฎหมาย และเขายังได้เขียน "Genetic Roulette" สารคดีความเสี่ยงของอาหารตัดต่อพันธุกรรมต่อสุขภาพอีกด้วย

เครดิต: ชีวอโรคยา นำมาจาก: www.manager.co.th วันที่ 11 มิถุนายน 2556
อ้างอิง หนังสือ "Seed of Deception" (เมล็ดพันธุ์แห่งการหลอกลวง) ของ เจฟฟรีย์ สมิธ (Jeffrey Smith) จากสถาบันการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ "ไออาร์ที" (The Institute for Responsible Technology : IRT)
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
******* ******* *******
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา





7. แกว่งแขนลดพุง รักษาโรคได้เพียบ


 ที่มา  https://www.facebook.com/pages/Greenleaf/264358383676576



8. เชื้อ HPV ในที่สาธารณะ (HPV-Human 

papillomaviruses (HPVs) เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้

ทางเพศสัมพันธ์) 



ผลการตรวจพบเชื้อไวรัส HPV ในที่สาธารณะ พบว่า ตรวจพบเชื้อ HPV ที่ด้ามกดชักโครก ก๊อกน้ำล้างมือ ที่รองนั่งโถส้วมมากที่สุด แต่สามารถป้องกันได้

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ หน่วยงานไวรัสวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ทำการเก็บตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อม เพื่อตรวจหาเชื้อ HPV ในที่สาธารณะ

จากสิ่งที่ส่งตรวจ 100 ตัวอย่างจากสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงเรียนกวดวิชา สนามเด็กเล่น โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน สถานบันเทิง รถไฟฟ้า รถประจำทาง โดยตรวจบริเวณราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ ลูกบิดห้องน้ำ ก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือ ก้านกดชักโครก ที่รองนั่งโถส้วม พบว่า มีการตรวจพบเชื้อ HPV ที่ด้ามกดชักโครก ก๊อกน้ำล้างมือ ที่รองนั่งโถส้วมมากที่สุด

สถานที่ที่สามารถตรวจพบเชื้อ HPV มักเป็นที่เย็น ชื้น ไม่มีแสงแดดส่องถึง ซึ่งส่วนใหญ่จะพบจากห้องน้ำ โดยเฉพาะสถานที่บันเทิง

แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปค่ะ เพราะการป้องกันเบื้องต้น คือ เมื่อเข้าห้องน้ำ ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังทุกครั้ง เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคที่จะติดมา

เชื้อ HPV คือ Human papillomaviruses (HPVs) เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ โดยพบว่ามีเชื้อไวรัส HPV มากกว่า 40 สายพันธุ์ที่สามารถติดเชื้อได้ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งชายและหญิง และสายพันธุ์เหล่านี้ยังสามารถติดเชื้อได้ที่บริเวณปากและช่องคอ โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ ซึ่งการติดเชื้อไวรัส HPV แบบเรื้อรังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

เชื้อไวรัส HPV สามารถติดต่อได้ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทวารหนัก แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่าเชื้อนี้สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ปากหรือการสัมผัสกันที่อวัยวะเพศภายนอกอีกด้ว

                                                                         
 ที่มา  https://www.facebook.com/Ramachannel


 9. เคล็ดไม่ลับ กินไม่ให้อ้วน


"เคล็ดไม่ลับ"


วิธีกินโดนัทไม่ให้อ้วน = กินรูตรงกลาง



วิธีกินน้ำอัดลมไม่ให้อ้วน = กินลมที่อัดมา



วิธีกินน้ำแข็งไสไม่ให้อ้วน = กินแต่น้ำแข็ง



รับรอง .. กินเเล้ว "ไม่อ้วน" แน่ๆ >>> อย่าเถียงกู กูรู้ กูเรียน


 ที่มา  https://www.facebook.com/profile.php?id=100002516542969


10. เครื่องดื่มเพิ่มพุง
 ที่มา



11. โทษของการดื่มน้ำอัดลม


โทษของการดื่มน้ำอัดลม

1. การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไรนัก น้ำอัดลมดื่มได้พลังงานอย่างเดียว แต่เป็นพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty calories โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

2. ในน้ำอัดลมทั่วไปจะมีน้ำตาลอยู่ ถ้าดื่มทุกวัน และ ทุกมื้ออาหาร จะส่งผลให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปโดยไม่จำเป็น

3. ถ้าดื่มน้ำอัดลมก่อนหรือระหว่างมื้ออาหารจะทำให้อิ่มเร็ว และ ทำให้ท้องอืด เพราะจะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหารขึ้น ที่สำคัญคือ ในเด็กถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลมไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการ อาจขาดสารอาหารได้

4. ความเป็นกรดของน้ำอัดลมไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะจะทำให้อาการหนักขึ้นไปใหญ่

5. น้ำอัดลมทำให้ฟันผุ เนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมากและมีสภาวะเป็นกรดด้วย ได้แก่ กรดคาร์บอนิก จะไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้

6. น้ำอัดลมไม่เหมาะกับผู้ที่จัดฟัน เพราะจะทำให้เกิดคราบสีน้ำตาลดำๆ บริเวณรอยต่อของเหล็กและฟันได้

7. ถ้าในแต่ละวันดื่มมากจนเกินไปมาก จะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำ ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

8. คาเฟอีนในน้ำอัดลมจะทำให้นอนไม่หลับ และง่วงนอนในตอนกลางวัน คาเฟอีนที่มีในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและปวดศีรษะได้

9. ทำให้กระดูกพรุน

มีส่วนผสมอะไรบ้างในน้ำอัดลม อ่านเพิ่มที่นี่คะ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=396628247116378&set=a.218879318224606.47531.216006648511873&type=1&theater

พยายามเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมนะคะ ถ้าให้ดี ดื่มน้ำเปล่า ดีที่สุดค่ะ ไม่มีแคลอรี่ แต่ได้รับประโยชน์ดีๆ กับสุขภาพค่ะ

ด้วยความห่วงใยค่ะ ^___^

ติดตามข้อมูลสุขภาพที่ Be Healthy นำมาแบ่งปันให้ทุกวัน ได้ที่
== > https://www.facebook.com/behealthyonline
เป็นกำลังใจและช่วยกันดูแลสุขภาพที่ดีให้กันและกันนะคะ ขอบคุณมากค่ะ 


 ที่มา  https://www.facebook.com/behealthyonline 


12. แก้อาการสมองตัน


 ที่มา  https://www.facebook.com/LivingSocialTH



13. ใช้ยาถูกต้อง ป้องกันโรคไต

ใช้ยาถูกต้อง ป้องกันโรคไต

"การใช้ยา อาจมีผลเสียต่อการทำงานของไต และถ้าไม่อยากเป็นโรคไต ต้องใช้ยาด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง"

อาจารย์ น.พ.นัฐสิทธิ์ ลาภปริสุทธิ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันเราได้นำยาหลายชนิดมารักษาความเจ็บป่วย เพื่อให้มนุษย์เรามีอายุยืนยาว หรือคุณภาพชีวิตดีขึ้น ยาบางชนิดแม้มีผลการรักษาที่ดี แต่ก็มีโทษต่อไตยกตัวอย่างยาที่สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีผลเสียต่อไตเป็นอย่างมาก เช่น ยาแก้ปวดลดการอักเสบ กลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ อย่าง ไอบูโพรเฟน ไดโคฟีแนค ซีลีคอกซิบ ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการบวม ความดันโลหิตสูง และไตทำงานลดลงด้วย ดังนั้นจึงควรใช้ยาในปริมาณน้อยที่สุดและใช้ในระยะเวลาสั้นที่สุด สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว ควรเลี่ยงการใช้ยากลุ่มนี้

ส่วนยาในกลุ่มที่เป็นพืชสมุนไพร ซึ่งมีการโฆษณาอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้น สามารถตรวจพบผลข้างเคียงต่อไตจากการแพ้ยาได้เช่นกัน และยาในกลุ่มสมุนไพรยังขาดการตรวจสอบมาตรฐานการผลิต ซึ่งอาจทำให้ส่วนประกอบสำคัญทางยาเปลี่ยนแปลงไป หรืออาจปนเปื้อนสารโลหะหนักที่เป็นพิษต่อไต ดังนั้นเมื่อใช้ยากลุ่มนี้จึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง เพื่อจะได้ระมัดระวังถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนั้น ยาบางชนิดที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ก็อาจมีผลต่อไตได้ เช่น ยาฆ่าเชื้อในกลุ่มเจนต้ามัยซิน อะมิเคซิน รวมทั้งสารทึบรังสีที่ต้องใช้ในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ถ้าผู้ป่วยทราบว่าตัวเองเป็นโรคไต ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งที่เข้ารับการตรวจรักษา

อย่างไรก็ดี ไม่อยากให้กลัวการใช้ยาไปเสียทั้งหมด ยาที่ใช้ควบคุมความดันโลหิตสูงและเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถชะลอความเสื่อมของไตได้ ดังนั้นความเชื่อที่ว่า การรับประทานยามากทำให้ไตวาย ก็คงไม่ถูกเสียทั้งหมด มีวิธีสังเกตอาการผิดปกติที่พบได้เมื่อไตเสื่อมเรื้อรัง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะมีฟองมาก มีอาการบวมบริเวณหนังตาหรือเท้า ถ้าไตทำงานลดลงมาก อาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนได้

หากมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจการทำงานของไต ซึ่งการตระหนักถึงการใช้ยาควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรองโรคไตเป็นระยะๆ จะช่วยให้ท่านห่างไกลโรคไตวายได้ครับ

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง โดย นพ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์


 ที่มา  https://www.facebook.com/2012Wellness


14. ออกกำลังนะดีแล้ว !!!!
แต่อย่าทำให้การออกกำลังนั้นกลายเป็นโมฆะ .  



ออกกำลังนะดีแล้ว !!!!
แต่อย่าทำให้การออกกำลังนั้นกลายเป็นโมฆะ 
======================== 

นักกีฬาและคนออกกำลังกายมักหลงเชื่อเครื่องดื่มชูกำลังว่าทำให้ร่างกายมีพละกำลังได้มากขึ้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ส่วนผสมหลักคือน้ำตาลที่ให้พลังงานสูญเปล่า(Empty Calorie)

เช่น Coca-Cola ขนาด12-ounce มีน้ำตาล 39กรัม ให้แคลอรี่ถึง 140หน่วย

Red Bull เครื่องดื่มชูกำลัง ขนาดเพียง 8 ounces มีน้ำตาล 27กรัม ให้แคลอรี่ถึง 110หน่วย

Gatorade เครื่องดื่มเกลือแร่ ขนาดเพียง 8 ounces มีน้ำตาล14กรัม ให้แคลอรี่ถึง 50หน่วย
แต่ขนาดที่ขายดีที่สุดคือขนาด 20 ounces.

เครื่องดื่มเหล่านี้นับเป็นของต้องห้ามเลยทีเดียวสำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือใกล้จะเป็นเบาหวาน ดื้ออินซูลิน เพราะปริมาณน้ำตาลพร้อมดูดซึมทะลักเข้าสู่เส้นเลือดอย่างฉับพลันทันที

มีการศึกษาและตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Nutrition พบว่า การเคร่งครัดควบคุมแคลอรี่ในเครื่องดื่มมีผลช่วยการลดน้ำหนักได้มากกว่าการควบคุมแคลอรี่ในอาหารเสียอีก ปัจจุบันพบแล้วว่า น้ำตาลเทียมต่างๆที่ผสมในเครื่องดื่มแล้วโฆษณาว่า sugar-free หรือ 0% calorie นั้นไม่ได้ปลอดภัยแก่ร่างกายเลย

ตรงกันข้ามเครื่องดื่มที่มีปริมาณคาเฟอีนที่พอดีกลับ มีผลให้ออกกำลังกายได้ทนนานขึ้น ลดความเจ็บปวดจากการออกกำลังกายได้ดีกว่าเครื่องดื่มชูกำลัง

แต่เหนืออื่นใด ทุกครั้งที่ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆสำคัญที่สุด

โดย Dr. Julian Whitaker

 ที่มา  https://www.facebook.com/2012Wellness


15. การดื่่มชาเขียว มีผลอย่างไร

ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน บิดเบี้ยว ตอน 4
ทานชาเขียวทุกวัน ดีต่อสุขภาพ

เชื่อว่าหลายคนเคลิ้มเมื่อเห็นโฆษณาชวนดื่มชาเขียวบรรจุขวดเพราะเกาะกระแสว่าทานแล้วป้องกันมะเร็ง ป้องกันสมองเสื่อม นั่นคือความเชื่อ 

แต่ความจริงคือ :

สิ่งที่เป็นยาพิษซ่อนในชาเขียวบรรจุขวด เหล่านี้คือปริมาณน้ำตาลสูงมากๆ บางยี่ห้อขวดเดียวมีมากกว่า34กรัม (มากกว่าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดยามปกติมีเพียง5-7กรัมเท่านั้นแปรผันตามปริมาณเลือดในร่างกาย ) (คนเราควรทานน้ำตาลไม่เกิน30 กรัมต่อวัน)เรียกได้ว่าดื่มขวดเดียวก็เกินโควตาต่อวันไปแล้ว

น้ำตาลที่สูงถึง34กรัม เข้าสู่ร่างกายพรวดเดียวจะเร่งกระตุ้นให้ตับอ่อนรีบหลั่งอินซูลินออกมาโดยเร็วเพื่อรับมือกับภาวะน้ำตาลท่วมเลือด ผลก็คือจะทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบ ขรุขระ ตะปุ่มตะป่ำ เป็นตัวล่อให้ไขมันที่ถูกอนุมูลอิสระโจมตี Oxidized LDL มาจับตัวเป็นตะกรันไขมันที่ละน้อยๆจนหลอดเลือดอุดตัน

ลองมาดูว่าน้ำตาลเลวร้ายต่อสุขภาพอย่างไร อ่านกันดู

อ่านแล้วเเทบอยากขออวยพรให้ผู้ผลิตชาเขียวบรรจุขวดเหล่านี้ อุดมสมบรูณ์ ด้วย เบาหวาน โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ มะเร็ง กันจังเลย

ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้จริงๆ?? หรือแกล้งโง่ กันแน่??
==================
สรุปความร้ายแรงของน้ำตาล

A . ศาสตราจารย์นายแพทย์ Mehmet Oz “ สาเหตุหลักที่สำคัญที่สุดสองประการของโรคหัวใจก็คือ 1) การอักเสบ และ 2) อินซูลิน การอักเสบร้ายแรงประดุจฝนกรดที่กัดกร่อนผนังภายในของหลอดเลือด “

B. นายแพทย์ Eric Tepol“ไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกต่อไปแล้วว่า ภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาดื้ออินซูลิน เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่โรคหัวใจ ภาวะการดื้ออินซูลินควบคู่กับการอักเสบ ปริมาณอินซูลินสูงๆจะส่งผลกระทบโดยตรงกับอวัยวะที่มีเซลล์ไขมันเยอะ ( เช่น สมอง หัวใจ ปอด )ทำให้มีการผลิตสารเร่งการอักเสบที่มีฤทธิ์ทำลายรุนแรงขึ้นเช่น Cytokines ,TNF , IL-6 อันนำไปสู่ โรคเบาหวาน การอักเสบของผนังภายในหลอดเลืด ผนังหลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ”

C. นายแพทย์ Pinchas Cohen “ปริมาณอินซูลินสูงจะเร่งตับให้สร้างสารคล้ายฮอร์โมน IGF-1 ( Insulin-like Growth factor )มากขึ้น IGF-1 จะกระตุ้นเซลล์ให้แบ่งตัว ขยายตัวเร็วขึ้น มากขึ้น เกิดผลกระทบให้เนื้องอก มะเร็งขยายตัวได้มากขึ้น พบหลักฐานมากขึ้นเรื่อยๆว่า IGF-1 เป็นตัวเร่งกระตุ้นมะเร็ง และมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับการขยายตัวของ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ ชัดเจนว่า อินซูลินสูง-- IGF-1 สูง - การอักเสบรุนแรงขึ้น --มีการสร้างสารเร่งการอักเสบที่มีฤทธิ์ทำลายรุนแรงขึ้นเช่น Cytokines ,TNF , IL-6 อันนำไปสู่ โรคร้ายแรงมากมายรวมทั้ง มะเร็ง”

4) รายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Annals of Oncology ตุลาคม2005 ซึ่งได้รวบรวมผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างรวม5,000 คน ได้สรุปใจความสำคัญว่า
“เราได้พบว่าพฤติกรรมการทานอาหาร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงๆ มีผลทางสถิติว่าสัมพันธ์โดยตรงกับ ภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม เนื่องจาก ปริมาณน้ำตาลสูงๆ ทำให้มีการหลั่ง อินซูลินและ IGF-1 มากขึ้นนั่นเอง”

5) นายแพทย์ Lee Roy Morgan “ภาวะอินซูลินสูงเรื้อรัง และทำให้ระดับIGF-1 สูงต่อเนื่องตามมา ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดภาวะมะเร็ง ได้มากกว่าคนที่มีระดับอินซูลินต่ำๆ”

6) ด็อกเตอร์ Sonia Lupien “ระดับอินซุลินสูงๆอย่างเรื้อรัง ผนวกกับวิถีชีวิตสังคมเมืองที่เครียด ดิ้นรน ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของเซลล์สมองอย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่ภาวะโรค อัลไซเมอร์ “

7) แพทย์หญิง Suzanne la Monte “ พบความสัมพันธ์โดยตรงระหว่าง)ปฏิกิริยาดื้อต่ออินซูลิน กับภาวะโรคอัลไซเมอร์ ระดับอินซูลินสูงๆเรื้อรัง ทำให้สมองผลิต เอ็นไซม์ IDE( Insulin-degrading enzyme ) ได้น้อยลง ทำให้มีการสะสมตัวของ Beta Amyloid Protein ในเนื้อสมองมากขึ้นจนเกิดตะกรันเหนียวและในที่สุดกลายเป็นแผล จนเซลล์สมองไม่สามารถสร้าง สารสื่อประสาทอะเซติลโคลีนได้อีก -สูญเสียความจำ เซลล์สมองตายในที่สุด “
 นายแพทย์ Stephen Sinatra ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือดผู้ผ่านประสบการณ์การรักษามากว่า35 ปีไ “ในบรรดาสาเหตุหลักทั้ง 12ประการที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น ผมขอย้ำว่าสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งก็คือ การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง อันเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายต้องหลั่งอินซุลินออกมาอย่างรวดเร็วและมากเกินไป ผลข้างเคียงของอินซูลินที่หลั่งออกมาอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการอักเสบของผนังภายในหลอดเลือดทั่วทั้งร่างกาย น้ำตาลนั่นแหละทำให้เกิดโรคหัวใจ”

 ที่มา  https://www.facebook.com/2012Wellness




16. ดูแลร่างกาย ต้องสนใจ SEX



 ที่มา  https://www.facebook.com/2012Wellness


17. 5นิสัยทำให้อ้วน



 ที่มา https://www.facebook.com


18. อาการปวดท้อง 



 ที่มา   https://www.facebook.com


19. 15เคล็ดวิธีอายุยืน 


 ที่มา  https://www.facebook.com/HappyPhoneMBKfanpage


20. วิเคราะห์ความดันโลหิต


                                                                                                                     ที่มา  สถาบันมะเร็งแห่งชาติ



21. ทำฟันให้ข้าวด้วยกล้วย ใช้เวลา 2 นาที

ลองดูนะครับเขาบอกมา เปลือกกล้วยด้านในใช้ขัดฟันให้ขาวได้ทิ้งไว 2 นาทีหลังขัดแล้วล้างออกครับ

ที่มา  https://www.facebook.com/Teerachon.BMA



22. ประโยชน์ของกล้วย  
ใครปวดประจำเดือน 
ใครอยากอดบุหรี่ 
ใครซึมเศร้า หดหู่ 
ใครมีความดันสูง 
ใครสมองไม่แล่น 
ใครมีแผลในกระเพาะ 

ยกมือขึ้น ปอกกล้วยเข้าปาก !!!

ที่มา  https://www.facebook.com/2012Wellness


23. โยคะช่วยอาการปวดหลัง



ที่มา  คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน



24. ฤษีดัดตน

บริหารด้วยท่าฤาษีดัดตน ภูมิปัญญาไทยเพื่อสุขภาพ

ท่าบริหารร่างกายฤาษีดัดตนนั้น เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยซึ่งมีมาช้านาน นอกจากท่าฤาษีดัดตนจะช่วยบำบัดตน รวมทั้งส่งเสริมสุขภาพแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคเบื้องต้นได้อีกด้วย ซึ่งท่าส่วนใหญ่ของฤาษีดัดตนนั้น เป็นการเลียนแบบท่าทางหรืออิริยาบทของไทย ขณะเดียวกันก็ใช้หลักการเคลื่อนไหวร่างกาย ให้สอดคล้องกับลมหายใจเข้าออก ผลลัพธ์ที่ได้คือสุขภาพแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า และช่วยให้ผู้ฝึกมีสมาธิมากยิ่งขึ้น
สำหรับท่าฤาษีดัดตนนั้นมีทั้งหมดประมาณ 127 ท่า แต่มี 15 ท่าพื้นฐานที่กระทรวงสาธารณสุขยอมรับ และคนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
อาจารย์สุกัญญา หงสประภาส แพทย์แผนไทยประจำโรงพยาบาลนครธน เผยให้ทราบถึงวงล้อสำหรับการเคลื่อนไหวนั้น ประกอบด้วย 4 อย่าง คือ การยืน การเดิน การนอน การนั่ง แต่ท่าฤาษีดัดตน 15 ท่าพื้นฐาน จะประกอบเพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น คือ การยืน การนอน การนั่ง ซึ่งผู้ฝึกจะต้องประสานกันให้ดี เพื่อไม่เกิดการติดขัดของเลือดและลม ขณะเดียวกันผู้ฝึกควรเลือกท่าฝึกที่เหมาะสมกับตนเอง
ซึ่งหลักของการฝึกท่าฤาษีดัดตนที่ถูกต้องคือ ต้องทำแค่พอตึง หากเกิดอาการเจ็บก็ควรเลิกทำ และที่สำคัญต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงจะเห็นผล และไม่จำเป็นต้องทำให้ครบทั้ง 15 ท่า แต่ควรเลือกท่าใดท่าหนึ่งที่เหมาะสำหรับตนเอง ขณะเดียวกันผู้ที่มีอาการปวด บวม หรือกระดูกหัก กระดูกเสื่อมนั้น ควรหลีกเหลี่ยงการบริหารร่างกายด้วยวิธีนี้

"ท่าฤาษีดัดตน" ประกอบไปด้วย
ท่าที่ 1 ท่านวดกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
อาจารย์สุกัญญากล่าวว่า ประกอบด้วย 7 ท่า คือ 1.1 ท่าเสยผม 1.2 ท่าทาแป้ง 1.3 ท่าเช็ดปาก 1.4 ท่าเช็ดคาง 1.5 ท่ากดใต้คาง 1.6 ท่าถูหูและถูหลัง 1.7 ท่าตบท้ายทอย ซึ่งท่านี้จะช่วยในเรื่องของการส่งเลือดไปเลี้ยงที่บริเวณใบหน้า รวมทั้งช่วยบำรุงสายตา และส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง

ท่าที่ 2 ท่าเทพพนม
วิธีการฝึกนั้นเริ่มตั้งแต่การพนมมือ หลังจากนั้นดันมือที่พนมไปทางซ้าย แล้วกลับมาที่จุดเดิมแล้วดันมือไปทางขวา ซึ่งจุดประสงค์การฝึกท่านี้คือ ต้องการส่งเลือดและลมไปตามแขน เพื่อแก้โรคลมในข้อแขน

ท่าที่ 3 ชูหัตถ์วาดหลัง
วิธีการฝึกเริ่มจากการชูมือทางข้างขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นประสานมือโดยให้มือทั้งสองจับกัน ต่อมากางมือทั้งสองข้างออกข้างลำตัว และลดระดับมือลงมาจับที่บริเวณเอว กำมือทั้งสองค่อยเข้าหากันและนำมาชนกันบริเวณด้านหลังของเอว

ท่าที่ 4 ท่าแก้เกียจ
เริ่มจากการประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตรง โดยที่มือทั้งสองประสานกันในลักษณะเหยียดออก จากนั้นยืดแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะพร้อมด้วยมือที่ประสานกัน แล้ววางมือที่ประสานกันลงบนศีรษะ ท่านี้ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้

ท่าที่ 5 ท่าดึงศอกไล้คาง
เริ่มจากการนำมือซ้ายมาแตะบริเวณปลายคาง และมือขวาจับที่บริเวณข้อศอก แล้วลูบปลายคางจากด้านซ้ายมาด้านขวา หลังจากนั้นเปลี่ยนข้างมาใช้มือขวาจบบริเวณปลายคาง แล้วมือซ้ายแตะที่ปลายศอกขวา แล้วลูบปลายคางจากขวามาด้านซ้าย จากนั้นเปลี่ยมมาใช้บริเวณหลังมือแทนฝ่ามือในการลูบปลายคาง โดยทำในลักษณะเดียวกับการใช้ฝ่ามือในขั้นตอนแรก โดยการสลับมือซ้ายและมือขวา

ท่าที่ 6 ท่านั่งนวดขา
เริ่มจากการนั่งเหยียดขา แล้วนำมือทั้งสองข้างมาจับบริเวณหน้าขา จากนั้นเลื่อนไปจับบริเวณปลายเท้า แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาจับบริเวณหน้าขา

ท่าที่ 7 ท่ายิงธนู
เริ่มจากการนั่งโดยเหยียดขาข้างซ้ายออก ส่วนขาข้างขวานั้นพับงอไว้ มือทั้งสองข้างทำท่าเหมือนการยิงธนู จากนั้นสลับเปลี่ยนขาและทำเช่นเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้น

ท่าที่ 8 ท่าอวดแหวนเพชร
เริ่มต้นจากการนั่งชันเข่า จากนั้นเหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตรง และกางฝ่ามือซ้ายขึ้น แล้วใช้มือขวาดัดที่บริเวณฝ่ามือซ้าย จากนั้นกางมือซ้ายออกแล้วค่อย ๆ พับนิ้วทั้ง 5 ลงที่ละนิ้วจนครบ จากนั้นสลัดข้อมือขึ้นลงในขณะที่กำลังกำมืออยู่ ทำสลับข้างกันไปเรื่อย ๆ จะช่วยป้องกันในเรื่องของการเกิดโรคนิ้วล็อกได้

ท่าที่ 9 ท่าดำรงค์กายอายุยืน
เริ่มจากลุกขึ้นยืนพร้อมกับกำมือทั้งสองข้าง โดยให้มือข้างซ้ายอยู่บนมือข้างขวาจากนั้นย่อเข่าลง พร้อม ๆ กับการขมิบท้องและแขม่วก้น จากนั้นจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

ท่าที่ 10 ท่านางแบบ
เริ่มจากการลุกขึ้นยืน จากนั้นใช้มือข้างขวาจับด้านหลัง มือข้างซ้ายจับที่ต้นขา แล้วเอียงคอไปทางด้านขวามือเช่นเดียวกับมือที่จับข้างหลัง หลังจากนั้นหันคอกลับมาที่เดิม ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการเปลี่ยนสลับข้าง สำหรับท่านี้เรียกได้ว่าเป็นการบริหารร่างกายใน แนวบิด จะช่วยในเรื่องของการปวดเมื่อยบริเวณสะโพกได้เป็นอย่างดี

ท่าที่ 11 ท่านอนหงายผายปอด
ท่านี้ประกอบด้วย 2 จังหวะ โดยจังหวะที่ 1 นั้น เริ่มจากนอนหงายแล้วยังแขนขึ้น จากนั้นเหยียดแขนให้ตรงและแนบกับศีรษะ จากนั้นยกแขนกลับมาแนบบริเวณข้างลำตัว
ส่วนจังหวะที่ 2 นั้น เริ่มจากนอนหงายใช้มือข้างขวาวางบริเวณหน้าท้อง จากนั้นค่อย ๆ ยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น แล้วเหยียดไปแนบข้างศีรษะ จากนั้นประสานมือทั้งสองข้างมาวางไว้บนหน้าผาก แล้วค่อย ๆ เลื่อนมือที่ประสานกันไว้มาอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง โดยที่มือทั้งสองข้างยกสูง จากนั้นดึงมือที่ประสานกันทั้งสองข้างกลับมาวาง บนหน้าท้อง ซึ่งท่านี้จะช่วยในเรื่องของการบริหารหัวใจ และแก้โรคในทรวงอก

ท่าที่ 12 ท่าเต้นโขน
เริ่มจากการยืนกางขาทั้งสองข้างออก แล้วใช้มือทั้งสองข้างวางลงบนหน้าขาทั้งสองข้าง จากนั้นยกขาซ้ายขึ้น แล้ววางขาซ้ายลงกลับมาสู่ท่าเดิม จากนั้นยกขาขวาขึ้น แล้ววางขาขวาลงและกลับมาสู่ท่าเดิม ท่านี้จะช่วยในเรื่องของการทรงตัว

ท่าที่ 13 ท่ายืนนวดขา
เริ่มจากการยืนตรง จากนั้นก้มตัวลง และใช้มือทั้งสองข้างจับที่บริเวณหัวเข่า แล้วค่อย ๆ ไล่ลงมาถึงปลายเท้า จากนั้นก็เลื่อนมือทั้ง 2 ข้างกลับไปที่หัวเข่าเช่นเดียวกัน สำหรับท่านี้ผู้ที่ปวดหลัง หรือมีอาการเสียวแปลบที่หลัง รวมถึงอาการปวดร้าวและลงขาควรหลีกเหลี่ยงท่านี้

ท่าที่ 14 ท่านอนคว่ำทับหัตถ์
เริ่มจากการนอนคว่ำ โดยมือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่ใต้บริเวณคาง หลังจากนั้นยกศีรษะขึ้น แล้วกระดกเข่าทั้งสองข้างขึ้น และกระดกขาและงอเท้าเข้ามายังบริเวณด้านหลังให้มากที่สุด ท่านี้จะช่วยขับลมเพื่อให้ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น

ท่าที่ 15 ท่าองค์แอ่นแหงนพักตร์
เริ่มจากการนอนตะแคง จากนั้นยกขาข้างขวาขึ้นและใช้มือจับบริเวณข้อเท้า จากนั้นเปลี่ยนทำสลับข้างกันและทำต่อไปเรื่อย ๆ
ขณะที่ฝึกท่าฤาษีดัดตนทั้ง 15 ท่านี้ ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกไปพร้อม ๆ กับการออกท่าทางด้วย จึงจะทำให้การฝึกได้ผลดีกับผู้ฝึก โดยสูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด จากนั้นกลั้นลมหายใจไว้ก่อน แล้วจึงค่อยผ่อนลมหายใจออก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์

คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน




25. 10 จุดเจ็บป่วยตามร่างกาย



“10 จุดเจ็บปวดตามร่างกาย” มีที่มา……..

อาการเจ็บปวดเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักสร้างความกังวลเพราะนอกจากจะไม่รู้ที่มาแล้ว เรายังไม่อาจเห็นสภาพภายในได้ เรื่องนี้นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มีข้อมูลมาไขข้อข้องใจโดยเฉพาะอาการปวด 10 จุด ต่อไปนี้

1.'เจ็บต้นคอร้าวแขน' เจ็บนี้ต้องระวังเส้นประสาทต้นคออาจถูกกดหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ยกของหนักที่ผ่านมาได้

2.'เจ็บแขนร้าวปลายมือ' ดูเรื่องเส้นประสาทให้ดีมีสิทธิ์เกิดจากพังผืดไปรัดเส้นประสาทหรือเกิดมาจากศูนย์รวมประสาทที่ต้นคอก็ยังได้

3.'ปวดศีรษะร้าวต้นคอ' อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงเวลามีความเครียดธรรมดา แต่ถ้ามีตาพร่าบวกคลื่นไส้อาเจียนด้วยก็ต้องจับตาอาการด้านสมอง

4.'ปวดหลังร้าวลงขา' น่าจะเกิดจากหมอนรองกระดูกกดเส้นประสาทเป็นหลัก โดยเฉพาะหลังส่วนบั้นเอวเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ การดูว่าปวดหลังถึงขั้นไหนให้ดูอาการร้าวลงขา

5.'เจ็บอกวิ่งไปแขนซ้าย' ร้ายเสียยิ่งกว่าอกหักเพราะมักเกี่ยวถึงโรคหัวใจขาดเลือด ให้สังเกตอาการปวดว่าเหมือนถูกบีบหรือถูกงูเหลือมตัวใหญ่รัดด้วยหรือไม่

6.'ไอแล้วปวดร้าวลงก้นกบ' บางคนเวลาไอหรือเบ่งท้องแรงๆ แล้วมีอาการเจ็บร้าวไปหลังหรือก้นกบเบื้องล่างทุกครั้ง ต้องเฝ้าระวังโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น

7.'เจ็บท้องน้อยร้าวลงหน้าขา' ในสตรีต้องระวังเรื่องอุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่วนในหนุ่มๆ ให้ระวังนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ถ้ามีไข้ร่วมด้วยให้ช่วยระวังการติดเชื้อเป็นหลัก

8.'เจ็บท้องส่วนอื่นๆ แล้วร้าวทะลุหลัง' อาการเจ็บหน้าไปหลังเช่นนี้ถ้าเป็นที่ตับ คือ ด้านบนขวาให้นึกถึงถุงน้ำดีที่อาจไม่ดีสมชื่อ เพราะนี่เป็นสัญญาณนิ่วในถุงน้ำดีหรือถุงน้ำดีอักเสบ ส่วนถ้าเจ็บตรงกลางร่วมกับไข้สูงให้นึกถึงตับอ่อนอักเสบ (Acute pancreatitis) แบบเฉียบพลัน

9.'เจ็บบั้นเอวแถวสีข้างร้าวลงขา' ยิ่งถ้าเจ็บบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้าวด้วย ให้นึกถึงก้อนนิ่วในกรวยไตหรือท่อไต ในบางรายอาจมีท่อปัสสาวะอักเสบร่วมกับมีไข้ รู้สึกหนาวและปัสสาวะปนเลือดอีก หากเป็นเช่นนี้แนะให้ช่วยรีบไปตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์หรืออัลตร้าซาวน์

10.'เจ็บตามผื่นแล้วร้าวลงเส้นประสาท' การที่มีผื่นเป็นตุ่มน้ำใสแล้วมีอาการแสบร้อนหรือเคยมีประวัติโรคเริม งูสวัด ให้ระวังอาการปวดร้าวไปตามปลายประสาท แม้ไม่มีผื่นแล้วก็อาจทิ้งอาการแสบร้อนไว้ได้ บางรายเจ็บแสบอยู่ตามแนวเส้นประสาทเป็นครั้งคราว
โดยคุณหมอกฤษดาย้ำว่า สัญญาณเจ็บร้าวทั้งสิบที่ว่ามาเป็นวิธีดูคร่าวๆ เท่านั้น แต่ก็ช่วยทำให้ได้ร่องรอยของโรคที่ซ่อนอยู่ได้ อย่างไรก็ตามทางที่ดีที่สุดคือ พบแพทย์แล้วตรวจหาความผิดปกติให้ทราบชัดเจนชัวร์กว่า.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

เครดิตตามภาพ

ที่มา  คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน



26. ความมหัศจรรย์ของน้้ำ


มีการศึกษาวิจัยพบว่า
- 75 % ของคนอเมริกันที่มีอาการปวดตามข้อเรื้อรัง เกิดจากร่างกายขาดน้ำ 
- จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน 100 % ของผู้ลดน้ำหนักสามารถลดความหิวได้โดยการดื่มน้ำหนึ่งแก้ว 

ประโยชน์ของน้ำมีมากมายดังนี้(จากภาพประกอบ)
1. ลดอาการอยากแอลกอฮอล์และคาเฟอีน รวมทั้งสารเสพย์ติดอื่นๆในสมอง 
2. ลดอาการหลงลืมเมื่ออายุเยอะขึ้น 
3. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมแซมของเซลล์ 
4. ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงนำพาออกซิเจน ได้มากขึ้น กล้ามเนื้อทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้มีอารมณ์สดใส 
5. ช่วยขจัดของเสียในร่างกาย 
ุ6. ช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวหนังเต่งตึง 
7. ช่วยหล่อเลี้ยงข้อกระดูก ลดอาการปวดตามข้อของร่างกาย 
8. ขจัดของเสียในตับและไต 
9. น้ำทำให้เกิดเหงื่อเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย 
10. ช่วยลดการทำงานของหัวใจ ในขณะที่หัวใจต้องทำงานหนัก

Credit : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=503922152995936&set=a.147110562010432.36040.147107135344108&type=1&theater
Credit : เพจThailand Yoga Society

ที่มา  คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน


27. อาหารเป็นยา


"อาหารเป็นยา" 
ใครว่าพืช ผัก ผลไม้ รักษาโรคไม่ได้
มาดูกันค่ะ ว่ามีอะไรกันบ้าง

๑. ไขมันใน เลือดสูง หากระเทียมสดมากินสักวันละ ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว 
๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้า หรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้
๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม หอม พริกให้มากเข้าไว้
๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)
๕. แพ้ฝุ่น ละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยว ไม่หวานจัดมากิน
๖. โรคหืด หอบ ไอ เรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดง ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
๗. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง
๘. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอร์รี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)
๙. ท้องอืด แก๊สมาก ให้ กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ
๑๐. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อ เช้า เย็น
๑๑. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วย หรือกินผักกะหล่ำปลีให้มาก
๑๒. เวียน หัว คลื่น ไส้ง่าย ให้หาอาหาร ทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิง หรือเต้าฮวย
๑๓. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้
๑๔. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า
๑๕. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก) มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูกอยู่มาก (แมงกานีส)
๑๖. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสี ช่วยสมองได้
๑๗. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด
๑๘. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กิน เสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอด ได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
๑๙. ท้องเสีย ลำไส้ แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑ -๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย
๒๐. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วย ขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบ ดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย
๒๑. ความดัน สูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผัก ขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
๒๒. เบาหวาน ถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก

ที่มา  https://www.facebook.com/ChinMed



28. พอกผิวด้วยน้ำผึ้ง



**ตำรับพอกผิวด้วยน้ำผึ้ง**

ประโยชน์ ทำให้หน้าชุ่มชื่น นุ่มนวล เหมาะกับการฟื้นฟูสภาพผิวที่แห้งเป็นขุย และผิวมัน

ส่วนประกอบ
- น้ำผึ้งแท้
- สำหรับผิวมันมาก ให้ผสมน้ำมะนาวเล็กน้อย
- เพื่อให้ผิวขาวเนียน ให้ผสมโยเกิร์ต

วิธีทำ
- ทาน้ำผึ้งให้ทั่วใบหน้า
- ทิ้งไว้นาน 30 - 60 นาที
- ล้างหน้าตามปกติ


**ตำรับนวดหน้า**

ประโยชน์ : ทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง มีน้ำมีนวล

ส่วนประกอบ
- น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
- ขมิ้นชันผง 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
- ผสมน้ำผึ้งกับขมิ้น แล้วกวนให้เข้ากัน
- ป้ายครีมน้ำผึ้งที่ทำขึ้นนี้ บนใบหน้า แล้วนวดนาน 15 นาที แล้วจึงล้างออก


***คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน***
ตรวจรักษาผู้มีบุตรยาก บำรุงร่างกายผู้สูงอายุ หรือผู้ตรากตรำงานหนัก ปัญหาสมรรถภาพทางเพศ

                                             ที่มา https://www.facebook.com/ChinMed/app_137541772984354



29. การออกกำลังกายในผู้เป็นเบาหวาน





การออกกำลังกายในผู้เป็นเบาหวาน

การออกกำลังกายทำให้มีผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานในสองลักษณะคือ 
1) ทำให้ กลูคากอน และ นอร์อีปิเนฟรีน หลั่งมากขึ้น ส่งผลให้หลั่งอินซูลินลดลง และเนื้อเยื่อไวต่ออินซูลินมากขึ้น ซึ่งก็คือต้องการอินซูลินน้อยลง

2) อาหารที่รับประทานเข้าไปจะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานในการออกกำลัง จึงทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดไม่สูง

การออกกำลังของผู้เป็นเบาหวานต้องเป็นการออกกำลังเบาๆถึงปานกลาง ไม่หนักหรือหักโหม และมีข้อที่ต้องคำนึงในการออกกำลังหลายอย่าง เช่น

- ผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานมักมีโรคเส้นเลือดหัวใจตีบด้วย หากออกกำลังหนักมาก อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้

- การออกกำลังทำให้การดูดซึมอินซูลินเร็วขึ้นในผู้ที่ฉีดอินซูลินเป็นประจำ อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ หากออกกำลังไม่สม่ำเสมอ ทำบ้างหยุดบ้าง หนักบ้างเบาบ้าง จะทำให้การจัดขนาดอินซูลินที่จะฉีดทำได้ลำบาก

การออกกำลังกาย สองประเภท

1) การออกกำลังกายแบบ anaerobic เช่น ยกน้ำหนัก วอลเลย์บอล เทนนิส จะเกิดการเผาผลาญชนิดที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน ทำให้เกิดกรดแลคติคในเลือดสะสมเพิ่มขึ้น จุดที่มีกรดแลคติกในเลือดสูงกว่า 4 มิลลิโมล/ลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่ร่างกายไม่สามารถขจัดออกไปได้ทัน หากผู้ป่วยเบาหวาน มีไต ตับ และหัวใจที่ไม่แข็งแรง อาจทำให้เกิดสภาวะเลือดมีฤทธิ์เป็นกรด

2) การออกกำลังแบบแอโรบิค aerobic

> ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วโดยกระตุ้นให้กลัามเนื้อเอาไปใช้โดยตรง สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลงได้หลายวัน

> ในขณะเดียวกันจะกระตุ้นกล้ามเนื้อและตับให้เปลี่ยนน้ำตาลไปเก็บในรูปไกลโคเจนได้เต็มที่ด้วย

> หากทำเป็นประจำ และออกแรงมากพอ และนานเพียงพอในแต่ละครั้ง จะทำให้ร่างกายไวต่ออินซูลินมากขึ้นด้วย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล และลดการใช้อินซูลิน

> ผลพลอยได้จากการออกกำลังแบบแอโรบิคก็คือ การลดไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน

สิ่งที่ควรคำนึงในการออกกำลังกายของผู้เป็นเบาหวาน

- ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยอินซูลิน ต้องระวังเรื่องน้ำตาลในเลือดต่ำในขณะออกกำลัง ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยความสม่ำเสมอทั้งในเรื่อง การรับประทานอาหาร การออกกำลัง การฉีดอินซูลิน

- การออกกำลังที่มีการกระทบกระแทก ไม่เหมาะกับผู้เป็นเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อน เช่นเรตินามีปัญหา

- รองเท้าที่พอดีกับเท้าเป็นสิ่งจำเป็นในการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวาน พอๆกับการรักษาความสะอาดของเท้า เพื่อไม่ให้เกิดแผลอันจะนำไปสู่โรคแทรกซ้อน

- การออกกำลังที่เหมาะกับผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นเบาหวานก็คือ การเดิน การแกว่งแขน ไท้เก๊ก และกีฬาที่เบาๆ การออกกำลังที่ไม่เหมาะ ก็เช่น วิ่งทน ว่ายน้ำ เป็นต้น



***คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน***
ตรวจรักษาผู้มีบุตรยาก บำรุงร่างกายผู้สูงอายุ หรือผู้ตรากตรำงานหนัก ปัญหาสมรรถภาพทางเพศ

                                            ที่มา  https://www.facebook.com/ChinMed/app_137541772984354


30. การดูแลตัวเองเบื้องต้น




การดูแลตัวเองเบื้องต้น ลองทำดูน่ะคะ

ใครที่ชอบปวดคอ ปวดแขน แขนชา มือเย็น ลองขยับตามทิศทางของข้อต่อหัวไหล่ว่าการขยับแขนในลักษณะใด ที่เกิดอาการติดขัดขณะเคลื่อนไหว เพื่อหาท่ากายภาพบำบัดตนเองเบื้องต้น 

โดยหัวไหล่นี้มีลักษณะเป็นข้อต่อแบบเคลื่อนไหวได้หลายรูปแบบ ( Multiaxial Joint ) มีลักษณะดังนี้ 
"หัวไหล่" เป็นข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุด และก็เป็นข้อต่อที่มีความซับซ้อนมากที่สุดเช่นเดียวกัน 
1. หัวไหล่สามารถยกขึ้นและลงได้ 
2. แขนสามารถยืดไปข้างและหลังได้ 
3. เมื่อยกแขนขึ้นด้านข้างสามารถหมุนข้อต่อหัวไหล่เป็นวงกลมได้

Credit by : เพจThailand Yoga Society

                                                                    ที่มา  คลินิกจันทน์ ตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนจีน



31. โรคฮิตมนุษย์ออฟฟิศ



ใครมีพฤติกรรมทั้ง4อย่างนี้บ้างค่ะ

เปลี่ยนแปลงตัวเอง ก่อนจะสายไป น่ะคะ


ที่มา  https://www.facebook.com/ChinMed